สวัสดีอาจารย์จงและเพื่อนๆทุกคนคับ
ผมเพิ่งเข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกที่จะร่วมเรียน SA กับเพื่อนๆทุกคน เมื่อเร็วๆนี้เอง
ก่อนหน้านี้ก็ไม่รู้เรื่องหรอกครับ ว่าSA คืออะไร เลยไม่ได้สนใจวิชานี้เลยแต่ด้วยเหตุผลที่ว่าอยากเรียนกับเพื่อนๆนั่นเองบวกกับอาจารย์จงดูใจดีจัง และผมว่าวิธีแลกเปลี่ยนความรู้แบบนี้ ก็น่าสนใจดีเหมือนกันนะเนี่ย ดูไม่เครียดดี การใช้วิธีใหม่ๆจะทำให้เรามีความรู้สึกสนใจกะเนื้อหามากขึ้นเหมือนกับว่าเมื่อมีอะไรแปลกใหม่เกิดขึ้นๆทุกๆคนก็จะให้ความสนใจกับสิ่งๆนั้น
ดังนั้นผมจึงต้องเรียน SA มั่งซะแล้ว ฮ่าๆ ยังไงก็ฝากตัวกับเพื่อนๆและอาจารย์ด้วยนะคับ
โม้ซะเหลือเกิน มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าคับ ฮ่าๆ
วันนี้ผมคิดว่าจะนำความแตกต่างของSystem Analyst และ Business Analyst มา Post ให้อ่านกันนะคับเพราะว่าในความเป็นจริงนั้น System Analyst และ Business Analyst แตกต่างกัน แต่ว่าบริษัทแต่ละแห่งมีการใช้งานตำแหน่ง SA แบบต่างๆกันออกไป ขึ้นอยู่กับบริษัทนั้นๆว่าเขาจะกำหนดการทำงานไว้อย่างไร
ตามปกติแล้ว Daigram คร่าวๆ จะเป็นอย่างนี้นะคับ ลูกค้า หรือ Users <-> Business Analyst <-> System Analyst <-> Developer - Programmers
1.Business Analyst ควรจะมีความรู้ความเข้าใจทั้งทางเทคนิค (หมายถึงงานคอม) และธุรกิจ แต่ออกจะหนักเรื่องธุรกิจมากกว่านิดนึงเพราะต้องคุยกับคนในโลกธุรกิจ เป็นงานกึ่งๆ ประสานงานระหว่างลูกค้า ที่มีแนวโน้มว่าจะไม่เข้าใจในเรื่องเทคนิคมากนัก แต่ก็มีงานวิเคราะห์ด้วยเช่นกัน เพราะต้องแปลงความเป็นไปได้ทางธุรกิจให้เป็นงานเทคนิคแบบคร่าวๆ เพื่อสร้างความเป็นไปได้ทางเทคนิคให้สอดคล้องกัน อาจต้องสร้างระบบในภาพใหญ่ๆ กว้างๆ เป็นกรอบงาน ถ้าให้พูดง่ายๆ ก็คือ ผู้แปลงสาร จากภาษาธุรกิจเป็นภาษาดิจิตอล ถ้าเป็นงานคอม น่าจะเป็นตัวแปลงสารหรือ requirement ให้เป็นรหัสดิจิตอล 010101 งานนี้อาจเกี่ยวข้องกับงานด้านการเงินด้วย เพราะต้องเป็นคนวางบิลค่าบริการกับลูกค้า ก่อนรับงานอาจจะต้องประเมินคร่าวๆ ว่าคุ้มกับการลงทุนที่จะรับงานนั้นๆ ไหมด้วย และอาจต้องกึ่งๆ เซลเล็กน้อย เพราะต้องทำให้ลูกค้ามีความมั่นใจในงานของเราด้วย
2.System Analyst ควรมีความรู้ความเข้าใจทางเทคนิคจริงๆ เพราะจะเป็นผู้วางระบบในภาพรวมทั้งหมด เพื่อให้สอดประสานทำงานทางธุรกิจที่ลูกค้าต้องการได้สำเร็จ
System Analyst จะต้องเข้าใจ Requirement ในระดับที่สามารถออกแบบระบบ หรือ ส่วนใหญ่กระบวนทางธุรกิจก็มักจะหมายถึง Table ใน Database รวมไปถึงสามารถอธิบาย Business Flow ให้แก่Developer ทำโปรแกรมออกมาให้ตาม Requirement ของลูกค้าเข้าใจว่างานหลักๆคือเน้นการสร้างระบบดังนั้นจึงต้องมีความรู้ด้าน Program ด้วย มิฉะนั้น จะคุยกะโปรแกรมเมอร์ไม่ค่อยรู้เรื่องเหมือนพูดกันคนละภาษาและในขณะเดียวกันอาจโดนเกณฑ์ไป coding ได้ถ้าโปรเจคไม่เสร็จ
นอกจากนี้ถ้ามีความรู้ความเข้าใจทางด้านธุรกิจด้วยจะยิ่งดี (ในความเป็นจริงบางบริษัทต้องการให้คนที่ทำด้านนี้ ขยับไปควบงาน Business Analyst ด้วย เรียกได้ว่าต้องการคนที่เป็นแบบ All-in-One)
เป็นอย่างไรบ้างครับ ข้อมูลเหล่านี้คงทำให้เพื่อนๆเข้าใจความสัมพันธ์ของ SA กับธุรกิจมากขึ้นบ้างใช่ไหมคับ โฮะ โฮะ
ที่มา http://topicstock.pantip.com/silom/topicstock/2009/04/B7738864/B7738864.html
ณัฐพล (โอ๊ค)
แต่ว่าทั้งอย่างก็มีส่วนที่เหมือนกันอยู่นะ
ตอบลบนั่นคือต้องเป็นคนที่มีความรอบคอบ
มีการคิดวิเคราะห์ที่ดีด้วย
สนมวอนแวะมาทักทายสมาชิกใหม่...
ตอบลบขอบคุณสำหรับบทความที่เอามาลงให้อ่าน
ไม่มีอะไรจะคอมเมนท์เรยยย
55 เรื่องมันจบด้วยตัวของมันเองไปแระ
sanom_WON ~ I am GooD_kNIGHT
สนมวอน ~ อัศวินผู้แสนดี
06252009
01:29 pm
______________
พัฏฐวร (วอน)
ยินดีต้อนรับน้องใหม่ครับ 55+
ตอบลบขอบคุณ กับเรื่องที่นำมาเสนอนะครับ ภาษาอ่านเข้าใจง่ายดี
พงศธร(พง)
โอ๊ะข้อมูลแน่นจิงๆนะคุณ
ตอบลบการเขียนนี่ก็เลิศจิงๆ
และกล้าดียังไงมาลง SA 5555555
ของเค้าดีจิงๆ
"ผมว่าวิธีแลกเปลี่ยนความรู้แบบนี้ ก็น่าสนใจดีเหมือนกันนะเนี่ย ดูไม่เครียดดี" ใช่ซิ วันแรกไม่ยอมมาเรียน 11 ก.ค.เด๋วก็รู้ว ฮ่าๆ ว่าบรรยากาศตอนเรียน ชิวมากจิงๆ กร๊ากๆๆ
Ps.สัมมนามันยังไงๆ ส่งพรุ่งนี้น่าคุณ ดูท่าจะไม่รี๊บบบบเลย เอ้ายาววว....
(สุภาวดี) ฝ้าย
จากที่อ่านมาตอนนี้เราก็ก้าวเข้าสู่ทั้ง 2 แบบเลยนะ
ตอบลบก็มีข้อดีว่า ทำให้มองระบบได้กว้างขึ้น
แต่เรายังหนักไปในทางข้อแรกมากกว่า
ดังนั้นถ้าเราเรียนวิชา SA นี้
ก็คงจะเป็นจุดเริ่มต้นของคนที่เป็นแบบ “all-in-one”
เกรียงไกร(อาท) ^_^