วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เศรษฐีผู้ยากจน‏

หากคุณเป็นเด็กคนนั้น คุณอยากเลือกที่จะจนหรือรวย

กด ctrl+A ก่อนอ่านนะ




. . . . . มหาเศรษฐีเกือบจะชราผู้หนึ่งสุดแสนจะภาคภูมิใจที่ลูกชายวัยห้าขวบของเขากำลังจะได้เข้าเรียนโรงเรียนชื่อดัง ซึ่งระดับมหาเศรษฐีอย่างพวกเขาเท่านั้นจึงมีปัญญาส่งลูกหลานเข้าเรียนในโรงเรียนนี้ได้ โดยส่วนตัวตัวของเขาเองก็อยากจะสอนให้ลูกชายรู้จักกับชีวิตจริงในโลกควบคู่ไปกับการสอนทฤษฎีในโรงเรียน

. . . . . ในวันหยุดเขาจะตระเวนพาลูกชายคนเดียวไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ แล้ววันหนึ่งเขาก็คิดถึงหัวข้อการสอนเรื่อง “ความยากจน” เพราะเขามีความเชื่อว่าลูกชายของเขาคงไม่มีวันรู้จักแน่นอน

. . . . . เขาจึงพาลูกชายไปเยี่ยมครอบครัวชาวนาครอบครัวหนึ่ง และพักอยู่กับชาวนาเป็นเวลา 1 วัน 1 คืน เมื่อกลับถึงคฤหาสน์ของเขาในวันต่อมามหาเศรษฐีก็จะทดสอบว่าลูกชายได้อะไรบ้างจากการไปพักแรมกับชาวนาผู้ยากจน

. . . . . ลูกชายตอบคำถามผู้เป็นบิดาว่า เขาขอขอบคุณเป็นอย่างมากที่ได้พาเขาไปพบกับชาวนาและพักแรมที่นั่น ซึ่งทำให้เขาได้พบว่า...


. . . . . ชาวนามีที่ทำงานเป็นท้องนาที่กว้างใหญ่ ในขณะที่พ่อมีเพียงห้องสี่เหลี่ยมที่ว่ากว้าง แต่ก็ยังน้อยกว่าห้องทำงานของชาวนา

. . . . . อาหารที่ชาวนารับประทานสามารถหาได้ตลอดเวลารอบ ๆ บริเวณบ้านโดยไม่ต้องซื้อหา ในขณะที่บ้านของเรามีตู้เย็นเท่านั้นที่เป็นที่เก็บอาหาร

. . . . . เวลารับประทานอาหารก็มีเพื่อนคุยอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก ในขณะที่ตัวเองก็ต้องนั่งทานอาหารกับโต๊ะที่ยาวเกือบสิบเมตร และเก้าอี้ว่างเปล่าทั้งสองด้าน

. . . . . ลูกชาวนาที่ซ้อนท้ายจักรยานของพ่อเขา ต้องกอดเอวพ่อให้แน่นเพื่อที่จะได้ไม่ตกจากจักรยาน แต่เขาเองต้องนั่งในรถที่ใหญ่โตอยู่ข้างหลังเพียงลำพังโดยมีคนขับพาไปทุกที่

. . . . . ชาวนามีแสงดาวแสงจันทร์เป็นโคมไฟส่องสว่างตลอดเวลาในเวลากลางคืนโดยไม่ขาดแคลนแต่เขาก็มีเพียงแสงจากโคมไฟที่ต้องซื้อด้วยเงิน

. . . . . ชาวนามีรั้วบ้านเป็นแม่น้ำ ภูเขาที่กว้างสุดลูกหูลูกตา แต่เขาเองกลับมีเพียงแค่กำแพงบล็อกในพื้นที่ไม่กี่ไร่

. . . . . ลูกชาวนาได้มีเพื่อนเล่นเป็นจิ้งหรีดหิ่งห้อยนับร้อยนับพัน แต่เขาเองกลับไม่มีใครเลย

. . . . . เขาขอบคุณพ่ออีกครั้งที่ทำให้เขารู้คำตอบว่า... จริง ๆ แล้ว...เรายากจนกว่าชาวนามาก

จาก FWD. mail

วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2552

สามล้อถูกหวย ฉบับจีนแดง

เขาจบเพียงชั้นมัธยมปลาย สอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ไม่ได้ แถมเป็นแค่พ่อค้าหาบเร่ และหารำไพ่ตอนกลางคืนด้วยการถีบสามล้อ แต่วันดีคืนดีเขาได้รับเชิญให้เรียนปริญญาเอก โดยไม่ต้องสอบเข้า

หนุ่มวัย ๓๘ ผู้นี้ชื่อ ไคเว่ย ทั้ง ๆ ที่มีอาชีพต่ำต้อย แต่เขามีความรู้ทางวรรณกรรมจีนโบราณอย่างลึกซึ้ง ชนิดที่หาตัวจับได้ยาก แม้กระทั่งศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยก็ยังทึ่ง เพราะบางเรื่องเขารู้ดีกว่าศาสตราจารย์อีก จนศาสตราจารย์ต้องแก้ไขงานเขียนของตัวตามคำแนะนำของไคเว่ย

วรรณกรรมจีนโบราณไม่มีทางช่วยให้เขาหาเงินได้มากขึ้นจากการหาบเร่และถีบจักรยาน แต่เขาไม่หยุดอ่านเอกสารและคัมภีร์โบราณจนภรรยาต่อว่า นั่นก็เพราะเขามีใจรักหรือฉันทะนั่นเอง ยามว่างเขาก็โพสต์ความคิดเห็นตามเว็บบอร์ด จนสะดุดตาศาสตราจารย์ผู้หนึ่

ชิว ซีกุย ศาสตราจารย์ด้านวรรณกรรมจีนโบราณ แห่งมหาวิทยาลัยฟูดานที่เซี่ยงไฮ้ เป็นผู้เชิญไคเว่ยเข้าศึกษาต่อชั้นปริญญาเอก โดยไม่ต้องสอบภาษาอังกฤษตามระเบียบของคณะ ทั้ง ๆ ที่เขาไม่มีวุฒิปริญญาใด ๆ เลย

ไคเว่ยเป็นตัวอย่างที่ชี้ว่าแม้ฐานะและอาชีพจะต่ำต้อย แต่หากมีความใฝ่รู้ รักเรียน และเพียรพยายามแล้วก็สามารถบรรลุถึงความเป็นเลิศ หรือเป็นที่ยอมรับของผู้รู้ได้ ขณะเดียวกันเขาก็ยังบอกเราอีกว่าอย่ามองคนแค่เปลือกนอก ถึงจะเป็นพ่อค้าเร่ สามล้อ หรือคนไร้ปริญญา เขาอาจมีความรู้มากกว่าครูบาอาจารย์ก็ได้

แต่ที่น่าทึ่งไม่น้อยกว่าไคเว่ยก็คือมหาวิทยาลัยฟูดาน ที่พร้อมเปิดรับพ่อค้าเร่และสามล้อถีบเข้าศึกษาต่อชั้นปริญญาเอก ทั้ง ๆ ที่ไม่เข้าเกณฑ์เลย การเปลี่ยนกฎเกณฑ์ของมหาวิทยาลัยที่อนุญาตให้อาจารย์มีสิทธิรับนักศึกษาปริญญาเอกได้ ทำให้คนอย่างไคเว่ยสามารถเรียนต่อได้สะดวกขึ้น

พ่อค้าเร่อย่างไคเว่ยที่รู้ลึกและยิ่งกว่านักวิชาการหรือศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัย อาจมีในเมืองไทย แต่โอกาสที่เขาจะได้เป็นนักศึกษาปริญญาเอกในมหาวิทยาลัยไทยนั้น ดูจะเป็นความฝัน เพราะมหาวิทยาลัยไทยถือกฎเกณฑ์และระเบียบสำคัญยิ่งกว่าอะไรอื่น และที่ยิ่งกว่านั้นก็คือการถือชั้นวรรณะทางวิชาการอย่างเหนียวแน่น โดยถือเอาปริญญาบัตรเป็นเครื่องวัดคน จึงยากที่จะอ้าแขนเปิดรับคนไร้ปริญญาให้มาอยู่ในสถานะเดียวกับตนได้

อย่าว่าแต่คนไร้ปริญญาเลย ได้ยินมาว่า ถ้าคุณไม่จบปริญญาเอก แม้จะได้ปริญญาโทมา และมีงานวิชาการมากมายเพียงใด เดี๋ยวนี้คุณไม่มีสิทธิสอนนักศึกษาปริญญาเอกในมหาวิทยาลัยไทยแล้ว บทบาทนี้เขาสงวนไว้สำหรับผู้มีวรรณะเป็นดอกเตอร์เท่านั้น

พระไพศาล วิสาโล

วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552

เรื่องราวจากชีวิตจริง ....

มีนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลคนหนึ่งเขียนอีเมล์มาบอกเล่าเรื่องราวการเดินทางของตัวเอง ... เลยหยิบมาเล่าสู่กันฟังคะ ....

ถึง อาจารย์...... ที่เคารพ

เหลือบไปเจอบทความของบอสและดริวในเมลล์ ขอเล่าเรื่องให้อาจารย์ฟังซักนิดละกันนะครับ ผมก็เคยคุยกับบอสหลายครั้งเหมือนกัน เรื่องคณะวิทยาศาสตร์ ผมเองเป็นคนหนึ่งที่ก้าวเข้ามาในคณะนี้ท่ามกลางเสียงต่อต้านจากทุกทิศทุกทางรอบกาย เสียงต้านเหล่านั้นอาจจะไม่มากมายขนาดนี้ ถ้าก่อนหน้านั้นผมไม่ได้เผอิญไปสอบติดในคณะที่หลายคนใฝ่ฝันอยากจะเป็น คณะที่พ่อแม่ของหลายคนใฝ่ฝันอยากให้ลูกได้เรียน คณะที่ไม่มีใครคิดว่าผมจะสละสิทธิ์ คณะแพทยศาสตร์

ช่วงนั้นผมนึกถึงคำพูดของ Henry Ford ผู้ก่อตั้งบริษัท ฟอร์ดมอเตอร์ที่ว่า "When everything seems to be going against you, remember that the airplane takes off against the wind, not with it" มันใช้ได้ดีเลยทีเดียว

ผมก็เป็นแค่คนที่มีความฝัน อยากที่จะเลือกเดินตามเส้นทางของความฝัน และอยากที่จะทำความฝันนั้นให้เป็นความจริงฝันของผมอาจจะต่างจากของคนอื่น ผมแค่คิดว่าผมจะเรียนในสิ่งที่ผมอยากจะเรียน อยากจะรู้ และอยากจะเป็นพูดง่ายๆคือ ผมก็แค่ทำตามใจตัวเองเท่านั้น

แต่การที่ทำตามใจตัวเอง แล้วมันทำให้ตัวเองมีความสุข และสร้างประโยชน์ต่อสังคม ประเทศชาติ และโลกได้ มันก็คุ้มสำหรับการดึงดันที่จะทำตามใจตัวเองมิใช่หรือ

ผมบอกกับใครต่อใครว่า ผมสามารถเป็นแพทย์ได้ แต่ถ้าผมมีอย่างอื่นที่ผมมีความสุขที่่จะเป็น และเป็นได้ดีกว่า มันก็ไม่น่าเป็นเรื่องแปลกที่ผมจะเลือกอย่างนี้

สังคมไทยยังยึดติดกับค่านิยมทางอาชีพมาก การที่ยังมีค่านิยมแบบนี้ก็คงเป็นส่วนหนึ่งที่ประเทศชาติยังไม่สามารถพัฒนาได้อย่างเต็มศักยภาพเสียที

มีเพื่อนผมจำนวนไม่น้อยที่สนใจในวิทยาศาสตร์ ส่วนหนึ่งไม่สามารถหลุดออกจากแรงต้านของค่านิยมได้ อีกส่วนหนึ่งกลัวที่จะเดินเข้ามาในทางสายนี้ สายอาชีพที่เขามองว่ายังเลือนลางเหลือเกินสำหรับสังคมไทย
แต่ผมกลับคิดว่า ถ้าไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปจุดไฟส่องทาง ทางเส้นนั้นก็จะเลือนลางมืดมิด ไม่มีวันได้สว่างเสียทีและนั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการให้เป็นกับเส้นทางสายวิทยาศาสตร์ของประเทศไทย

ผมเข้ามาด้วยความมีอุดมการณ์อย่างแรงกล้า แรกๆยังหวั่นว่า เราจะเป็นคนเดียวที่คิดแบบนี้อย่างที่เขาว่าไว้หรือเปล่า เราเลือกมาถูกแล้วแน่หรือแต่การที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของคณะวิทยาศาสตร์ ทำให้ได้รู้ว่ายังมีคนอีกมากมายที่คิดเหมือนกับผมเป็นสังคมที่ท้าทายทางความคิด หลากหลายมุมมอง ได้เจอกับเพื่อนๆ รุ่นพี่ และอาจารย์ที่ต่างก็มีแนวคิดที่น่าทึ่ง (โดยเฉพาะอาจารย์สอนชีววิทยาคนล่าสุด จริงๆนะครับ) ทำให้ได้ลองนึกไปว่า หากตอนนี้ผมไปอยู่ในคณะแพทย์ จะมีโอกาสได้เจอบรรยากาศแบบนี้ไหมทำให้ผมมั่นใจ กับทางที่อยู่ข้างหน้า ที่ก็มีคนจุดไฟนำทางไว้แล้วไม่น้อยเหมือนกัน แต่ผมก็หวังว่าตัวเองจะเป็นดวงไฟที่สว่างอีกดวงหนึ่ง

ผมพยายามชักชวนให้รุ่นน้องที่รู้จัก มาเรียนคณะวิทยาศาสตร์ ลบค่านิยมเก่าๆออกไป แล้วก็ดีใจที่มีรุ่นน้องอยากเป็นอย่างผม แม้จะไม่มาก แต่มันก็ทำให้เห็นว่าสิ่งที่พยายามทำอยู่ประสบความสำเร็จอยู่เหมือนกัน
แต่การที่มีเพื่อนๆในคณะ หลายคน ลาออกจากเส้นทางสายวิทยาศาสตร์อย่างถาวร ก็ทำให้จิตใจหดหู่ลงไม่น้อย ไม่รู้ว่าเขามองคณะวิทย์อย่างที่ผมมองหรือเปล่า หรือผมคิดว่าเขาควรจะได้เรียนกับอาจารย์เร็วกว่านี้ (หลายคนที่ออกไปยังไม่เคยเรียนกับอาจารย์เลย)

อ่านแล้วรู้สึกอย่างไร ... เล่าสู่กันฟังบ้างนะคะ

อาจารย์จงดี

วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2552

วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2552

เพื่อนๆมาช่วยแนะนำหนังสือดีๆกัน

หลังจากที่ผมได้อ่านบทความ “ความฝันโง่ๆ” ของแมม ที่แต่งโดยของคุณวินทร์ เลียววาริณ รู้สึกชอบมากเลย เพราะรู้สึกเป็นข้อความที่ให้ข้อคิด กำลังใจดีมากเลย ทำให้อยากอ่านหนังสือเรื่อง “สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน” ของแหม่มเลย(แต่คงต้องเป็นหลังสอบเพราะตอนนี้ต้องอ่านหนังสือสอบก่อน55+) และก็ได้อ่านบทความของอาจารย์จงดี ที่หนังสือชื่อว่า “เวลาในขวดแก้ว” ก็รู้สึกว่าเป็นหนังสือที่ดีอีกเล่มหนึ่งเลย

จึงทำให้รู้สึกอยากอ่านหนังสือขึ้นมาเลย(จากเดิมที่ไม่เคยหรือไม่ชอบอ่านหนังสือเลย)

เลยอยากให้เพื่อนๆหรืออาจารย์จงดี ช่วยเข้ามาโพสชื่อเรื่องหนังสือดีๆที่ให้ข้อคิดดีๆ น่าอ่าน หรือที่เพื่อนๆคิดว่าเป็นหนังสือที่ดีมาแบ่งปันกัน ครับ


ขอบคุณมากครับ
พงศธร(พง)

วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2552

เวลาในขวดแก้ว......

หลังจากที่ได้อ่าน บทความแสดงความรู้สึกของเน ... ก็ทำให้ครูนึกถึง หนังสือเรื่องหนึ่ง "เวลาในขวดแก้ว" ... ขอแบ่งปันนะคะ
"If I could save time in a bottle
ถ้าฉันเก็บเวลาไว้ในขวดแก้วได้
The first thing that I'd like to do
สิ่งแรกที่ฉันจะทำ...
Is to save every day Till eternity passes away
คือสะสมคืนวันที่ล่วงเลยมานิรันดร์
Just to spend them with you
เพียงเพื่อมอบมันแก่เธอ

If I could make days last forever
ถ้าฉันสามารถทำให้คืนวันเ็ป็นอมตะ
If words could make wishes come true
หรือเพียงแค่คำพูด...จะทำให้ความหวังเป็นจริงขึ้นมาได้
I'd save every day like a treasure and then,
ฉันจะเก็บทุกโมงยามราวสมบัติล้ำค่า
Again, I would spend them with you
เพื่อมอบแก่เธอ
But there never seems to be enough time
แต่ดูราวกับไม่ค่อยมีเวลาเพียงพอ
To do the things you want to do
ที่จะทำในสิ่งที่ฉันต้องการ
Once you find them
หรือแม้แต่จะหาสิ่งนั้นให้พบ
I've looked around enough to know
ฉันวิงวอน เพียงเพื่อจะรู้ว่า
That you're the one I want to go Through time with
เธอเท่านั้น... ที่ฉันต้องการก้าวผ่านกาลเวลาด้วย
If I had a box just for wishes
ถ้าฉันมีกล่องสักใบ
And dreams that had never come true
สำหรับใส่ความหวังและความฝันที่ไม่เคยเป็นจริง...
The box would be empty
กล่องนั้นคงจะ่ว่างเปล่า
Except for the memory
หากเปี่ยมด้วยความทรงจำ
Of how they were answered by you
ที่เธอได้ตอบสนองต่อฉัน"

ยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางในรั้วมหาวิทยาลัย ครั้งนี้

อาจารย์จงดี โตอิ้ม

วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2552

- - ความฝันโง่ๆ - -

วันนี้เห็นเพื่อนเราคนหนึ่งได้นำหนังสือของคุณวินทร์ เลียววาริณ มาเป็นของแลกเปลี่ยนซึ่งเป็นของสำคัญของเพื่อนคนนั้น เราเองก็เป็นคนที่อ่านหนังสือของคุณวินทร์เหมือนกัน ชื่นชอบวิธีในการเขียนเรื่องและชื่นชมในความสามารถของเค้ามาก แม้ว่าจะยังไม่ได้อ่านจนหมดทุกเล่มแต่ก็กำลังพยายามจะเก็บอ่านให้หมด
และวันนี้เราจะขอนำข้อคิดดีๆจากหนังสือเล่ม ที่มีชื่อว่า "ความฝันโง่ๆ" มาให้เพื่อนๆได้อ่านเพื่อเสริมสร้างกำลังใจกัน (มันเป็นหนังสือที่เสริมสร้างกำลังใจนั่นแหละ)

++กำลังใจแด่ทุกคนที่มีความฝันโง่ๆ...

++ไม่มีความมืด ก็ไม่รู้คุณค่าของแสงตะวัน
ไม่มีความหนาวเย็น ก็ไม่รู้คุณค่าของความอบอุ่น
ไม่มีความสูญเสีย ก็ไม่รู้คุณค่าของการมี

++เวลาเป็นสิ่งที่ผ่านแล้วผ่านเลย
แต่น่าแปลกที่หลายคนชอบใช้เวลาไปกับการดูเวลา

++ตะบองเพชรที่ยืนกลางแดดแผดเผาชั่วนาตาปี ยังออกดอกงดงามได้
อุปสรรคจะเป็นอุปสรรคก็ต่อเมื่อเรามองมันเป็นอุปสรรค

++ความรู้เป็นคนละเรื่องกับการเข้าโรงเรียน

++ต้นหญ้าที่ถูกไฟป่าเผาผลาญ
ผลิใบใหม่ออกมาเสมอเมื่อมีโอกาส
เกิดเป็นคน กลัวอะไรกับอุปสรรค

++มองโลกด้วยหัวใจ
ไม่ใช่ด้วยสายตาอย่างเดียว

++อุปสรรคเล็กๆน้อยๆระหว่างทางทำให้การเดินทางมีรสชาติมากขึ้น

++ทุกสิ่งมองได้สองด้านเสมอ

++เวลาเป็นธรรมชาติที่รีไซเคิลไม่ได้

++ใช้เวลาปัจจุบันไปกับอดีตและอนาคตเป็นการลงทุนที่สูญเปล่า

++การเรียนรู้ที่สำคัญที่สุดคือความสามารถที่จะรู้ว่าเราไม่รู้อะไร

++วุฒิภาวะมิใช่ได้มาจากการใช้จ่ายเงินซื้อมา แต่มาจากการใช้จ่ายชีวิต

++จงรู้เท่าทันความทุกข์ที่เกาะใจเรา

++รู้ครึ่งๆกลางๆอันตรายกว่าไม่รู้เลย

++ไม่มีอะไรในโลกที่ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง

++ความอ่อนไหวไม่ใช่เรื่องอ่อนแอ
ความแข็งแกร่งก็ไม่ใช่ความเข้มแข็งเสมอไป
เพราะชีวิตที่ดีคือการรู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา

++การปฏิเสธจุดอ่อนของตน ก็เหมือนการไม่ยอมรับว่ามีรูรั่วบนเรือที่กำลังแล่น

++คุณค่าของการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย
อาจอยู่ที่การใช้ชีวิตนอกรั้วมหาวิทยาลัย

++ลองเดินหน้าสู่ความฝันโง่ๆ ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย...

เอามาเป็นบางส่วนเท่านั้นใครอยากอ่านเพิ่มเติมหาอ่านได้ที่

ที่มา หนังสือความฝันโง่ๆ หนังสือเสริมสร้างกำลังใจ ชุด 2 ของวินทร์ เลียววาริณ

พรรณราย (แมม)

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2552

การจากลา

ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงคาบเรียนสุดท้าย ที่เราทุกคนจะต้องจากลา คุณครูอันเป็นที่รักของเราไป และจากลาเพื่อนๆที่น่ารักทุกคนไป บางคนก็จบไปทำงาน บางคนก็เหลือเพียงโปรเจ็คเท่านั้น ฯลฯ ซึ่งจะว่าไปเวลาก็ผ่านพ้นไปเร็วเหลือเกิน ตัวผู้เขียนเองยังไม่รู้ตัวเลยว่า มันถึงวันนี้แล้วจริงหรือเนี่ย ความรักและความผูกพันธ์ที่มีต่อเพื่อนในชั้นเรียน และคุณครูที่น่ารักของเรา กำลังจะจบลงแล้ว พรุ่งนี้จะเป็นคาบเรียนสุดท้ายที่เราจะมีการเรียนการสอนกันแล้วนะครับ ซึ่งตัวผมเองก็อยกาจะฝากบทกลอนดีๆ ให้เพื่อนๆทุกคนได้จดจำความทรงจำดีๆนี้เอาไว้ พรุ่งนี้ผมคาดว่าอาจจะเซอร์ไพร์ส เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ในทุกๆเหตุการณ์ หลังจากวันพรุ่งนี้อยากให้เพื่อนๆเข้ามาบอกความรู้สึกกันได้นะครับ ผมคิดว่าคงไม่มีคาบเรียนไหน ชั้นเรียนไหน ตั้งแต่เราเข้ามาเรียน ณ สถาบันแห่งนี้ ที่จะให้ให้เราทุกคนผูกพันธ์กันได้มากเท่านี้ สุดท้าย อยากให้ทุกคนจดจำช่วงเวลาที่ดีที่สุดนี้เอาไว้ ถ้าเวลาผ่านล่วงเลยไปก็อยากให้จดจำสิ่งนี้เอาไว้ ว่าครั้งนึงเราเคยร่วมทุกข์ ร่วมสุขด้วยกันมา สุดท้ายคงจะฝากบทกลอนต่างๆ ที่ไว้เหลือเป็นเพียงความทรงจำ และ ขอให้เพื่อนผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ ลุล่วงไปด้วยดี ในทุกๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น เรื่องเรียน เรื่องงาน หรือความรักก็ตาม ขอให้พระเจ้าอวยพรทุกคน

เวลาเหมือนวารีมิเคยมีจะหยุดไหลวันวานย่อมผ่านไปเหลือไว้เพียงความทรงจำ

เก็บความทรงจำนี้ไว้เก็บไว้ในใจที่อ่อนหวานเก็บไว้..เก็บไว้นานเท่านานเก็บไว้ตลอดกาล..ตลอดไป

Waroot (nae)

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552

แนะนำกระทู้ในpantipเป็นความรู้แก่ทุกๆคน

ไปเจอมาในpantipเลยเอามาให้อ่านกันคงจะมีประโยชน์แก่ทุกคนเลยเอามาให้อ่านกัน



วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

Good Story

มีเรื่องที่อ่านแล้ว เห็นว่า น่าจะมีประโยชน์ บ้างมาให้อ่านกันคะ

"Butterfly Story"

ในระหว่างทานข้าวกลางวัน วนิดาซึ่งเป็น CEO ถามกิตติผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งที่รายงานตรงต่อเธอว่า “ กิตติ พี่สังเกตว่าคุณไม่เคยปิดมือถือเลย แม้กระทั่งเวลาประชุม แล้วพี่ก็เห็นคุณขอตัวออกไปจากที่ประชุมกลางคันเพื่อรับโทรศัพท์ พี่อยากรู้ว่าเป็นโทรศัพท์ของใครหรือ ทำไมมันสำคัญขนาดรอจนจบประชุมไม่ได้ พี่เห็นเป็นประจำเลยนะ ” กิตติมีท่าทีอึดอัด เขาตอบว่า “ ไม่มีอะไรหรอกครับ เรื่องส่วนตัวนะครับ ผมขอโทษ ” วนิดายิ้มแบบผู้ใหญ่ใจดี เธอเงียบไปสักครู่จึงพูดต่อ “ กิตติ เราสองคนทำงานด้วยกันมาพอสมควร คิดว่าพี่เป็นพี่สาวของคุณก็ละกัน เพราะพี่อายุมากกว่าคุณสองสามปี มีอะไรก็เล่าสู่กันฟังซิคะ เผื่อว่าพี่อาจจะแนะนำอะไรให้ได้บ้าง ” วนิดาเลือกใช้แนวทางพี่น้อง แทนที่เธอจะตำหนิเขาโดยตรง ในเรื่องพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในที่ประชุมแบบเจ้านายกับลูกน้อง วิธีนี้ได้ผล! กิตติสารภาพออกมาแบบกระอักกระอ่วน “ ก็...คือว่า...พี่อย่าโกรธผมนะครับ มันเป็นโทรศัพท์มาจากลูกสาวผมเอง เธอเพิ่งไปเรียนไฮสคูลที่ออสเตรเลียเมื่อไม่กี่เดือน โรงเรียนที่ลูกสาวผมเรียนนี้ค่อนข้างจะเข้มงวด แถมมีการบ้านจมเลย ตอนลูกสาวผมเรียนที่นี่ ผมช่วยติวและทำการบ้านร่วมกับเธอบ่อยๆ ลูกคนเดียวเธอคือดวงใจของผมเลยครับ ผมบอกเธอว่าไปอยู่นั่น ติดขัดเรื่องการบ้านละก็โทรมาหาผมได้ทุกเมื่อไม่ว่าจะเป็นเวลาใด ผมจะคอยช่วยเหลือเธอผมไม่ต้องการเห็นเธอล้มเหลว ตอนค่ำเมื่อกลับบ้านผมก็แทบจะไม่ได้พักผ่อน แต่จะไปช่วยเธอทำการบ้านแล้วก็แฟ็กซ์ส่งไปเรื่องคณิตศาสตร์บ้าง ภาษาอังกฤษบ้าง ผมอยากให้เธอประสบความสำเร็จ ผมต้องขอโทษที่บริหารเวลาไม่ค่อยได้เรื่อง ” กิตติจบเรื่องลงด้วยท่าทีละอายใจ วนิดาแสดงความเห็นใจ “ เรื่องของคุณมันฟังแล้วคุ้นๆมากเลย พี่พอจะจินตนาการออก ถึงความลำบากใจของเธอ พี่เองก็มีลูกสาวเรียนปริญญาโทอยู่ที่อเมริกา พี่เคยทำแบบคุณเหมือนกัน เพราะลูกสาวพี่จบตรี แล้วไปต่อโทเลย จึงไม่มีประสบการณ์ในการทำงาน ดังนั้นพอทำกรณีศึกษาก็มักจะ ไม่ทันเพื่อนเขา หรือไม่เข้าใจ แถมยังไม่กล้าถามอาจารย์อีก พี่เลยต้องช่วยทำเคส แล้วก็อีเมล์ไปให้เธอ แต่ว่าตอนนี้พี่หยุดช่วยเธอแบบนั้นแล้วล่ะค่ะ ” กิตติถามด้วยความประหลาดใจ “ ทำไมล่ะครับ พี่ไม่รักเธอแล้วหรือ หรือว่าพี่เห็นว่างานมีความสำคัญกว่าครอบครัวครับ ”

วนิดาตอบพร้อมกับยิ้มอย่างอารมณ์ดีว่า “ พี่ยังรักลูก และเห็นคุณค่าของครอบครัวและงานเหมือนเดิม พี่โชคดีที่มีเพื่อนชาวอเมริกันคนหนึ่ง เขาสังเกตเห็นวิธีที่พี่ช่วยลูกสาว แล้ววันหนึ่งเขาก็ให้หนังสือเล่มหนึ่งชื่อ The Power of Failure โดย Charles C. Manz และมีการแปลเป็นไทยในชื่อ วิกฤติคือโอกาส โดยพสุมดี กุลมา เรียบเรียงโดย นราธิป นัยนา เพื่อนอเมริกันเขาคั่นเรื่องๆหนึ่งให้พี่อ่านโดยเฉพาะเลย พี่จะเล่าให้เธอฟัง

”........ มีชายคนหนึ่งนั่งมองผีเสื้อที่กำลังดิ้นรนจะออกจากรังไหม เจ้าผีเสื้อดิ้นรนไปซักพัก จนกระทั่งใยรังไหมเริ่มขาดเป็นรูเล็กๆ ชายคนนั้นมองด้วยความสนใจ เจ้าผีเสื้อดูเหมือนจะหยุดไป ที่จริงผีเสื้อมันพักเพื่อที่จะดิ้นรนต่อไป แต่ว่าชายคนนั้นคิดไปเองว่าผีเสื้อคงติดใยรังไหม ไม่สามารถจะออกมาได้ด้วยตนเอง ด้วยความหวังดี เขาจึงนำกรรไกรขนาดเล็กมาตัดใยรังไหมนั้น ทำให้รูมันขยายใหญ่ขึ้น เจ้าผีเสื้อเห็นรูขยายใหญ่ขึ้นมันก็คลานต้วมเตี้ยมออกมา แต่เขาสังเกตว่าตัวมันมีขนาดเล็กกว่าปกติ ปีกเหี่ยวย่น แถมลำตัวของเจ้าผีเสื้อก็มีลักษณะบวมผิดปกติ กลายเป็นว่าในขณะที่ผีเสื้อต้องดิ้นรนออกแรงตะเกียกตะกาย เพื่อพยายามจะดันตัวมันออกจากรังไหมนั้น เป็นกระบวนการธรรมชาติที่จะกระตุ้นให้ของเหลวชนิดหนึ่ง ที่อยู่ในลำตัวผีเสื้อเคลื่อนที่มาสู่ปีก เพื่อทำให้ปีกแข็งแรงเพียงพอจะบินได้ ด้วยความปรารถนาดีของชายคนนั้น ผีเสื้อตัวนี้ปีกจึงเหี่ยวย่นไม่แข็งแรงเพียงพอจะบินได้ แถมยังมีรูปร่างพิกลพิการ เพราะของเหลวที่ควรจะอยู่ที่ปีก ดันไปติดคั่งค้างอยู่ที่ลำตัว เจ้าผีเสื้อตัวนี้ออกจากใยมาได้ด้วยความสบาย แต่ต้องพิกลพิการ และบินไม่ได้ไปชั่วชีวิตของมัน ....."

อุปสรรคและความล้มเหลวในชีวิตของคน ก็คล้ายๆกันกับสิ่งที่เจ้าผีเสื้อเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ ความก้าวหน้าในชีวิต การพัฒนาทักษะ ความกล้าหาญ ความมุ่งมั่น ล้วนแล้วแต่น่าสงสารและน่าเห็นใจ แต่จะได้คุณค่ามาก็ด้วยการล้มเหลวอย่างถูกวิธี

เราจะคาดหวังว่าจะประสบความสำเร็จในชีวิต โดยไม่มีความล้มเหลวนั้นเป็นไปไม่ได้ เมื่อเราเผชิญอุปสรรค แล้วเราหลีกเลี่ยงที่จะแก้ไขหรือต่อสู้กับมัน เท่ากับว่าเรากำลังเสียโอกาสสำคัญในการเรียนรู้บทเรียนที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อความสำเร็จในชีวิตของคน

กิตติฟังด้วยความสนใจ “ โอ้โฮ เรื่องนี้จุดประกายน่าดูครับ แต่ผมกลัวว่าลูกผมจะเกลียดผมนะซีครับ ” วนิดาเสริมต่อ “ มีคำพูดที่ว่า 'No pain No gain' "ไม่เจ็บ ไม่ได้เรียนรู้" ที่จริงพวกเรานะผิดเองที่ป้อนลูกๆ เรามากไป สำหรับกรณีของพี่ พี่อธิบายให้ลูกเขาเข้าใจด้วยการเล่าเรื่องนี้แหละ หลังจากนั้น พี่ก็ขอโทษสำหรับการให้ความช่วยเหลือลูกแบบผิดๆในอดีต ลูกๆ ของเราเขาฉลาดพอจะเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้นะ ... กิตติ คุณลองมองไปรอบๆตัวเราสิ เรามีพนักงานที่มีความรู้ มาจากครอบครัวที่มีฐานะ หลายคนที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ พวกเขาไม่อดทนต่อปัญหาและอุปสรรค คนที่ควรถูกตำหนิคือ พ่อแม่ของเขา คุณอยากถูกคนอื่นเขาต่อว่าแบบนี้ในอนาคตไหมล่ะ แถมลูกๆ ของเรายังอ่อนแอไม่สามารถจะฟันฝ่าปัญหาอุปสรรคได้ .....คุณมีสิทธิ์เลือกนะ … ”

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552

ปิดคอร์ส SA ภาคทฤษฎี

วันนี้ก็ปิดคอร์สแล้วกับการเรียน SA ภาคทฤษฎี

เป็นไงบ้างเพื่อนๆ... หลังจากปิดคอร์สนี้คงได้อะไรกันไปเยอะเลยเนอะ

ศุกร์หน้าก็จะได้ไปดูงานแล้ว

เสาร์ก็พรีเซ็นต์งาน สู้ๆนะจ๊ะ

แล้วเจอกันวันศุกร์

วันนิดา(ต๊อบ)

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2552

อาชยากรรมคอมพิวเตอร์วายร้ายของหน่วยงาน

ขณะนี้กระแสความกังวลเรื่องเศรษฐกิจชะลอตัว นับเป็นความท้าทายสำหรับองค์กรและภาคธุรกิจต่างๆ ขณะเดียวกันยังต้องรับมือกับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะหลังรัฐบาล ประกาศใช้พระราชบัญญัติความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ได้มีการเก็บสถิติในการรับแจ้งเหตุละเมิดความปลอดภัยของคอมพิวเตอร์ ผ่านศูนย์ประสานงานการรักษาความปลอดภัยคอมพิวเตอร์ พบว่า ในปี 2008 มีการละเมิดความปลอดภัยของคอมพิวเตอร์ลดลงจากปีก่อน โดยที่พบมาก คือ เหตุละเมิดในรูปแบบฟิชชิ่ง ที่มีจำนวนมากถึง 68% เป็นการโจมตีโดยการปลอมแปลงอีเมล์ และการสร้างเว็บไซต์ปลอม เพื่อหลอกให้เหยื่อเปิดเผยข้อมูลทางด้านการเงินหรือข้อมูลส่วนบุคคล

นายวรเทพ มงคลวาที

ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอ.อาร์.ไอที จำกัด กล่าวว่า จากสภาวะเศรษฐกิจที่แปรปรวนจากทั่วโลก ส่งผลให้หน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชนเผชิญกับความเสี่ยงที่เกิดจากอาชญากรรมทางการเงิน การหลอกหลวงด้านข้อมูลที่เพิ่มสูงขึ้น โดยสิ่งเหล่านี้ทำควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีทางด้านไอทีใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต จากการเก็บสถิติการรับแจ้งเหตุละเมิดความปลอดภัยของคอมพิวเตอร์ ผ่านศูนย์ประสานงานการรักษาความปลอดภัยคอมพิวเตอร์ (Thai CERT) พบว่าในปี 2551 รูปแบบการละเมิดที่ใช้มากที่สุด คือรูปแบบฟิชชิ่ง หรือการหลอกลวงผู้ใช้ให้เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวที่สำคัญแก่เว็บไซต์ที่ปลอมแปลง มีจำนวนสูงถึง 68% รองลงมาคือรูปแบบเมลล์แวร์ หรือซอฟต์แวร์ที่ออกแบบเพื่อแทรกซึมเข้าไปทำลายระบบคอมพิวเตอร์ มีอยู่ 16% และสแปมเมลล์หรือเมลล์ขยะ มีอยู่ 1 %

ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอ.อาร์.ไอทีฯ กล่าวต่อว่า จากข้อมูล IDC ที่คาดการณ์ว่าปี 2552 ภาพรวมของตลาดไอทีจะเติบโตลดลง โดยมูลค่ารวมตลาดไอทีในประเทศไทยจะอยู่ที่ 6.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงประมาณ 217 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และอัตราการเติบโตจะลดลงจาก 12.9% เป็น 6.7% อย่างไรก็ตาม วิกฤตเศรษฐกิจขณะนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อโอกาสทางธุรกิจด้าน IT Security ที่มีแนวโน้มเติบโตเพิ่มสูงขึ้น เพราะการโจรกรรมข้อมูล และการใช้อินเทอร์เน็ตมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

นายวรเทพ กล่าวอีกว่า จากการสำรวจทั่วโลกพบว่าประเทศไทยติดอันดับ1ใน4 ที่ถูกโจรกรรมมากที่สุด โดยสาเหตุที่มีการโจรกรรมมากขึ้น เพราะกฎหมายที่มีอยู่ไม่เข้มงวด และไม่ชัดเจน แม้จะประกาศใช้พระราชบัญญัติความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 หรือ พ.ร.บ.คอมฯ ก็ตาม ดังนั้น จากแนวโน้มความเสี่ยงด้านโจรกรรมที่มากขึ้น ทำให้ความต้องการบุคคลากรที่เชี่ยวชาญด้าน IT Security มีมากขึ้นประมาณ 60% จากคนที่มีความรู้ทางไอที 100%

ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอ.อาร์.ไอทีฯ อธิบายถึงความจำเป็นที่จะต้องร่วมมือระหว่างสถาบันเออาร์ไอที ที่เป็นศูนย์อบรมและศูนย์ทดสอบความรู้ด้านคอมพิวเตอร์กับสถาบัน EC-Councilประเทศสหรัฐอเมริกา ว่า ขณะนี้มีองค์กรจำนวนมากที่ไม่มีระบบ IT Security ที่ได้มาตรฐาน อีกทั้ง หน่วยงานและองค์กรต่างๆยังต้องการบุคคลากรที่มีความสามารถด้านดังกล่าวเพิ่มขึ้น จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เอ.อาร์.ไอทีและสถาบัน EC-Council ผู้เชี่ยวชาญด้าน Providing IT Security and E-Business Certification ร่วมมือกัน

เนื้อหาของหลักสูตรและการสอบ จะครอบคลุมทักษะด้าน IT Security โดยเฉพาะการเรียนรู้เกี่ยวกับวิธี เครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ ที่ Hacker ใช้เพื่อที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในการป้องกันการ Hack โดยที่จะมุ่งเน้นไปที่ บุคคลากรภายในองค์ทั้งภาครัฐ เอกชน และสถาบันอุดมศึกษา อีกทั้งตั้งเป้าภายในปีนี้จะมีบุคคลากรที่มีความรู้หลักสูตรดังกล่าวเพิ่มขึ้น 500 คนจากดิสซิบิวเตอร์ที่มีอยู่ 4 ศุนย์ และเตรียมขยายเพิ่มอีก 10ศูนย์ ภายใน 1 ปีสำหรับเบื้องต้นได้มีการเจรจากับมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ(เอแบค)และมหาวิทยาลัยสยาม ในการบรรจุหลักสูตรดังกล่าวให้เป็นวิชาเลือกเพื่อให้นักศึกษาได้มีการเรียนรู้นายวรเทพ กล่าว

ด้านนายชอน ลิม ประธานกรรมการ EC-Council ประเทศสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า ขณะนี้สถาบันสถาบัน EC-Council มีบุคคลากรทั่วไปที่จบหลักสูตร IT Security ประมาณ 10,000คนต่อปี โดยแบ่งเป็นในแถบอเมริกา 50% แถบยุโรป 15% และแถบเอเซีย 25% ส่วนสาเหตุที่มาขยายสถาบันในไทยเพราะแนวโน้มอัตราการโดน Hacker มีเพิ่มขึ้น และคาดว่าจะเพิ่มไปเรื่อยๆ ดังนั้นหน่วยงานต่างๆจึงจำเป็นที่ต้องการบุคคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้าน IT Security เพื่อเข้าไปก้องกันและพัฒนาระบบของหน่วยงานตนเองต่อไป

ส่วนนายวิลสัน วอง ผู้อำนวยการ สถาบัน EC-Council Academy ประเทศมาเลเซีย ให้ข้อมูลปัญหาอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ทั่วโลกว่า หลายฝ่ายประเมิน ตัวเลขอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์น่าจะลดลงแต่ในหลายๆประเทศพบว่าเพิ่มสูงขึ้น หรือคิดเป็นอัตราเฉลี่ย 24 ต่อ 7 โดยปัญหาดังกล่าวจะดำเนินต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด และเป้าหมายหลักของการโจมตีคือรัฐบาล

ผู้อำนวยการ สถาบัน EC-Council Academy ประเทศมาเลเซีย แสดงความเห็นถึงตัวเลขที่เพิ่มขึ้นของอาชญากรรมทางด้านการเงินว่า ตัวลขที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้หลายบริษัทฯเผชิญกับความเสี่ยงที่เกิดจากอาชญากรรมทางการเงินที่มีปริมาณเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ตึงเครียดในปัจจุบัน โดยจะพบการกระทำผิด การหลอกลวง และการทำอาชญากรรมทางการเงินอื่นๆ เพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกันอาชญากรเหล่านี้ยังคงแสวงหาวิธีและเทคนิคใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อที่จะนำมาใช้ในการทำอาชญากรรมทางการเงินกับองค์กรธุรกิจและบุคคลทั่วไป

นายวิลสัน แสดงความเห็นต่อว่า สิ่งที่ภาคธุรกิจและองค์กร ควรจะให้ความสำคัญมากขึ้น คือ การติดตั้งระบบความปลอดภัยให้รัดกุมกว่าเดิม แม้ตัวเลขการละเมิดลิขสิทธิ์ หรือ การโจรกรรมข้อมูลผ่านคอมพิวเตอร์จะลดลงก็ตาม แต่ไม่สามารถวางใจได้ และจากผลการสำรวจธุรกิจป้องกันความปลอดภัย IT Security ทั่วโลก พบว่า การลงทุนด้าน IT Security มีปริมาณเพิ่มสูงขึ้น โดยผลวิจัยบริษัท PricewaterhouseCoopers จาก 150 ประเทศทั่วโลก ปรากฎว่าบริษัทขนาดกลางมีการลงทุนด้าน Security มากที่สุด

จากการวิเคราะห์ถึงผลกระทบที่เกิดจากวิกฤตเศรษฐกิจของสถาบันการเงินที่เกิดขึ้น ช่วงที่ผ่านมาพบว่า มีการละเมิดข้อมูลภายในเพิ่มมากขึ้น และการศึกษาจากบริษัทฯ ตัวอย่าง จำนวน 43 บริษัทฯ พบว่าบริษัทฯทั้งหมดได้รับผลกระทบจากการละเมิดข้อมูลสำคัญภายในบริษัท และจากการสำรวจพบว่าข้อมูลที่ถูกละเมิดเหล่านี้ มีมูลค่าสูงถึง 6.65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นบริษัทฯ ต่างๆ ควรเริ่มพิจารณาถึงการจัดสรรงบประมาณให้กับพนักงานฝ่ายความมั่นคงปลอดภัยของระบบสารสนเทศ อย่างแท้จริงผู้อำนวยการ สถาบัน EC-Council Academy ประเทศมาเลเซีย กล่าว

อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ที่มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนต้องมีการเปิดหลักสูตรการเรียน Hacker แต่ผู้เรียนจะต้องมีวิจารณญาณที่ดีว่าการสอน Hacker ของสถาบัน EC-Council นั้น ไม่ได้สอนให้ผู้เรียนเป็น Hacker มืออาชีพเพื่อทำความผิด แต่สถาบันต้องการให้ผู้ที่มีความมรู้ด้าน IT Security เป็นคนเฝ้าระวังอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์แทนหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยที่เชื่อว่าหากมีสถาบันดังกล่าวแล้วจะทำให้การจัดอันดับการถูกโจรกรรมข้อมูลลดลง...

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ไทยรัฐ


เทคนิค 6 ข้อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบ

เอาหล่ะ ใกล้สอบแร้ว เพื่อนๆเตรียมตัวกันหรือยัง

เอ๊ะ หรือว่า ยังแก้สัมมนากันอยู่ 5555555555

เทคนิค 6 ข้อ ที่ควรทำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบให้ได้ผล ใน 1 เดือน ซึ่งอาจจะมีข้อสำคัญ คือ การเลิก Chat ไปสักระยะ (แหม ข้อนี้ทำร้ายจิตใจกันจริงๆ นะคะ) แต่ก็นั่นล่ะค่ะ แชทมากไปก็ไม่ดี ก็รู้อยู่ แชทพอให้หายเครียดก็คงเป็นทางสายกลางที่น่าจะทำนะคะ.. เอ๊า มาดูกัน ว่ามีเทคนิคอะไรน่าสนใจบ้าง




1.ต้องเลิกเที่ยว เลิกดื่ม เลิกสร้างบรรยากาศที่ไม่ใช่การเตรียมสอบ เลิก chat ตอนดึกๆ เลิกเม้าท์โทรศัพท์นานๆ ตัดทุกอย่างออกไป ปลีกวิเวกได้เลย ต้องทำให้ได้ ถ้าไม่ได้อย่าคิดเลยว่าจะสอบผ่าน ฝันไปเถอะ



2.ตัดสินใจให้เด็ดขาด ว่าต่อไปนี้จะทำเพื่ออนาคตตัวเอง บอกเพื่อน บอกพ่อแม่ บอกทุกคนว่า อย่ารบกวน ขอเวลาส่วนตัว จะเปลี่ยนชีวิต จะกำหนดชีวิตตัวเอง จะกำหนดอนาคตตัวเอง เพราะเราต้องการมีอนาคตที่กำหนดได้ด้วยตัวเอง ใช่หรือไม่

3.ถ้าทำ 2 ข้อไม่ได้ อย่าทำข้อนี้ เพราะข้อนี้คือ ให้เขียนอนาคตตัวเองไว้เลยว่า จบแล้วจะเป็นอะไร เช่น จะเรียนพยาบาล ก็เขียนป้ายตัวใหญ่ๆ ติดไว้ข้างห้อง มองเห็นตลอดเลยว่า “เราจะเป็นพยาบาล” อะไรทำนองนี้ เพื่อสร้างเป้าหมายให้ชัดเจน




4.เตรียมตัว สรรหาหนังสือ หาอาจารย์ติว หาเพื่อนคนเก่งๆ บอกกับเค้าว่าช่วยเป็นกำลังใจให้เราหน่อย ช่วยเหลือเราหน่อย หาหนังสือมาให้ครบทุกเนื้อหาที่จะต้องสอบ เตรียมห้องอ่านหนังสือ โต๊ะ เก้าอี้ โคมไฟ ให้พร้อม



5.เริ่มลงมืออ่านหนังสือ เริ่มจากวิชาที่ชอบ เรื่องที่ถนัดก่อน ทำข้อสอบไปด้วย ทำแบบฝึกหัดจากง่ายไปยาก ค่อยๆ ทำ ถ้าท้อก็ให้ลืมตาดูป้าย ดูรูปอนาคตของตัวเอง ต้องลงมืออ่านอย่างจริงจัง อย่างน้อยวันละ 10 ชั่วโมง แล้วจะทำได้ไง วิธีการคือ อ่านทุกเมื่อที่มีโอกาส อ่านทุกครั้งที่มีโอกาส หนังสือต้องติดตัวตลอดเวลา ว่างเมื่อไรหยิบมาอ่านได้ทันที อย่าปล่อยให้ว่างจนไม่รู้จะทำอะไร ที่สำคัญอ่านแล้วต้องมีโน้ตเสมอ ห้ามนอนอ่าน ห้ามกินขนม ห้ามฟังเพลง ห้ามดูทีวี ห้ามดูละคร ดูหนัง อ่านอย่างเดียว ทำอย่างจริงจัง



6.ข้อนี้สำคัญมาก หากท้อให้มองภาพอนาคตของตัวเองไว้เสมอ ย้ำกับตัวเองว่า “เราต้องกำหนดอนาคตของตัวเอง ไม่มีใคร กำหนดให้เรา เราต้องทำได้ เพราะไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้” ให้กำลังใจกับตัวเองอยู่เสมอ บอกกับตัวเองอย่างนี้ทุกวัน หากท้อ ขอให้นึกว่า อย่างน้อยก็มีผู้เขียนบทความนี้เป็นกำลังใจให้น้องๆ เสมอ นึกถึงภาพวันที่เรารับปริญญา วันที่เราและครอบครัวจะมีความสุข วันที่คุณพ่อคุณแม่จะดีใจที่สุดในชีวิต ต่อไปนี้ต้องทำเพื่อท่านบ้าง อย่าเห็นแก่ตัว อย่าขี้เกียจ อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง เลิกนิสัยเดิมๆ เสียที




5555555555 คิสว่าจะทำกันได้สักกี่ข้อเนี่ยยย อิอิ ที่แน่ๆ เคลียร์สัมมนาให้ผ่านกันก่อน

Credit : http://webboard.yenta4.com/topic/211543

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552

"เทคนิคการดื่ม Johnnie Walker ทั้ง 5 "

ดื่มอย่างไรไม่ให้เสียของพร้อมสัมผัสกับรสชาติที่แอบซ่อน คนไทยเราน่ะ ชอบทำให้เสียของอยู่เรื่อย โดยเฉพาะนิสัยการดื่มแบบผสมมิกเซอร์ทั้งหลายนั่นแหละคือการทำให้วิสกี้ชั้นดีที่บางทีไม่ควรผสมใด ๆ ต้องเสียของวันนี้จะหยิบเอาเรื่องวิสกี้ตระกูล จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ มาพูดกันซะหน่อย รวมถึงมีวิธีการดื่มที่แตกต่างไปอย่างเฉพาะซะด้วย

เริ่มจาก จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ เรด เลเบิ้ล กันก่อนเลยดีกว่า น่าจะดูถูกใจคนไทยที่สุด เพราะน้องเล็กสุดขวดนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อการดื่มตลอดค่ำคืน พูดง่ายๆ ก็คือกินได้นานๆ สนุกสนานกันทั้งคืนนั่นแหละ ราคาก็ถูก แถมวิธีการกินที่ถูกต้องนั้น ก็ต้องผสมกับ "มิกเซอร์" ทั้งหลาย อันเป็นวิธีการดื่มที่นิยมในหมู่คนไทยอยู่แล้วซะอีก ตอนนี้ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ เรด เลเบิ้ล ก็เลยขายดีที่สุดไปโดยปริยาย ง่ายๆ จะใส่น้ำแข็ง ผสมโคล่า ชามะนาว หรือโซดาก็ได้ทั้งนั้น สุดแล้วแต่ว่าจะชอบรสชาติแบบไหนหลังผสมมิกเซอร์แล้วเท่านั้นเอง แต่นักดื่มมืออาชีพมักนิยมผสมนำ้ก่อนแล้วจึงผสมโซดาตามลงไปในอัตราส่วน2:1หรือที่เรียกกันว่า "โซดาลอย" นั่นเอง... ผสมเสร็จก็ เอ็นจอย ดริ๊งกิ้ง กันได้ทั้งคืน ( แต่อย่าขับรถหลังดื่มนะ )

โตขึ้นมาหน่อย กับความเคร่งขรึมแบบ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ แบล็ค เลเบิ้ล วิสกี้ชั้นดีจากการหมักบ่มเพื่อให้ได้รสชาติที่คลาสสิกที่สุดนานถึง 12 ปี วิธีการดื่มที่ถูกต้องนั้นก็คลาสสิกไม่แพ้รสชาติของตัววิสกี้ ง่ายๆ เท่ๆ ดูดีด้วยสไตล์ที่เรียกกันว่า "ออน เดอะ ร็อก" นั่นเอง หรือถ้าอยากจะผสมมิกเซอร์เหลือเกิน ก็ต้องใส่น้ำแข็งเข้าไปเยอะๆ วิสกี้ครึ่งแก้ว และโซดาอีกครึ่งแก้ว แค่นี้แหละ ก็จะได้สัมผัสรสชาติที่แท้จริงของ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ แบล็ค เลเบิ้ล

มาถึงตระกูล จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ โกลด์ เลเบิ้ล อายุ 18 ปีกันก่อน แค่นำ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ โกลด์ เลเบิ้ล ไปใส่ในช่องแช่แข็งสัก 24 ชั่วโมง ถ้าที่ในช่องแช่แข็งยังเหลือก็นำแก้วทรงสูงเปล่าๆ แช่ไว้ด้วย พอได้เวลา ก็รินใส่แก้วที่แช่ไว้ข้างกันๆ นั่นแหละ แล้วดื่มเข้าไปเลย ทันทีที่วิสกี้เย็นจัดปะทะกับความอุ่นในปาก กลิ่นหอมหวนนุ่มลิ้นจะอบอวล ยิ่งถ้ามีช็อกโกแล็ตดีๆ ไว้กินเข้าคู่ล่ะก็ จะเป็นความสุขที่ลืมไม่ลงเลยเชียว

ส่วน จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ กรีน เลเบิ้ล ที่มีจำหน่ายแบบจำกัดประเทศนั้น หาน้ำแข็งก้อนใหญ่ๆ สักก้อน ใส่ในแก้วปากกว้างเพียงแค่ก้อนเดียว ไม่ต้องกลัวว่าน้ำแข็งก้อนนั้นจะเหงา เพราะเราจะเฝ้ามองอย่าทะนุถนอม จากนั้นริน จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ กรีน เลเบิ้ล ลงไปไม่ต้องท่วมน้ำแข็ง แกว่งแก้วเล็กน้อย ให้อุณหภูมิของวิสกี้ชะอุณหภูมิของน้ำแข็งก้อนโต ดมกลิ่นวิสกี้ที่ระเหยขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนลิ้มรสวิสกี้ที่อุณหภูมิพอเหมาะพอดี งานนี้จะได้ รสชาติ กลิ่น และแสงที่วิสกี้ตกกระทบกับก้อนน้ำแข็งชวนมอง

ปิดท้ายกันที่วิสกี้ชั้นสูง จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ บลู เลเบิ้ล อายุ 25 ปี ที่หมักบ่มจากมอลต์คุณภาพสูง ตามวิธีการคลาสสิกแบบศตวรรษที่ 19 วิธีการดื่มวิสกี้ชั้นสูงนี้ก็คลาสสิกมาก เตรียมแก้วแบบ "Old Fashion Style" สวยๆ ไว้สัก 2 ใบ แก้วนึงรินวิสกี้รอไว้ ส่วนอีกแก้วนึงรินน้ำแร่เย็นๆ ไว้เช่นกัน ดื่มน้ำแร่เย็นๆ เพื่อปรับอุณหภูมิในช่องปากกันก่อน จากนั้นจิบ จอห์นนี่ วอล์กเกอร์ บลู เลเบิ้ล ในแก้วอีกใบตาม เมื่อน้ำแร่เย็นๆ ที่หลงเหลืออยู่ในช่องปากผสมกับวิสกี้ชั้นดีนี้ รสชาติที่แอบซ่อนก็จะซึมผ่านเพดานปากไปมัดใจนักดื่มเหล้าทั้งหลายไม่รู้ลืม


credit : http://blog.fukduk.tv/

อัสซุสเข็นชิพเซ็ต P55 ลงตลาดรวดเดียว 7 รุ่น

ชูเทคโนโลยี Xtreme Design ลิขสิทธิ์เฉพาะ มั่นใจผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์การใช้งาน สร้างความแตกต่างให้ลูกค้า ลั่นนั่งแท่นผู้นำตลาดจนสิ้นปี 52 กวาดส่วนแบ่งกว่า 50%...

นายปกรณ์ พฤทธิบูรณ์สกุล ผู้จัดการผลิตภัณฑ์กลุ่มคอมโพเน้นท์ บริษัท อัสซุสเทค คอมพิวเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ อัสซุส กล่าวว่า จากระยะเวลากว่า 7 ปีที่บริษัทฯ สามารถครองตำแหน่งผู้นำด้านการวิจัยและพัฒนามาเธอร์บอร์ด ด้วยประสิทธิภาพการใช้งานที่หลากหลายและการออกแบบที่ทันสมัย ทำให้เกิดการบอกต่อระหว่างผู้ใช้ ส่งผลให้ยอดจัดจำหน่ายภายในประเทศไทยและต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด อัสซุสประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์มาเธอร์บอร์ดอีก 7 รุ่น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า พร้อมรองรับ CPU Core i5 และ Core i7 (Socket 1156)

ผจก.ผลิตภัณฑ์กลุ่มคอมโพเน้นท์ บ.อัสซุสฯ กล่าวต่อว่า มาเธอร์บอร์ด 7 รุ่นล่าสุดของอัสซุส ได้แก่ รุ่น P7P55D Series, ROG (Republic of Gamers) และรุ่น Maximus III Formula ด้วยเทคโนโลยีล่าสุด Xtreme Design ลิขสิทธ์เฉพาะของอัสซุส ที่มาพร้อมกับคุณสมบัติเด่น 3 ประการ โดยเน้นประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความเสถียรทนทานในการใช้งาน ทำให้ลูกค้าสัมผัสได้ถึงประสบการณ์และประสิทธิภาพที่แตกต่าง

นายปกรณ์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ ภาพรวมตลาดมาเธอร์บอร์ดในประเทศไทยมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่า ในช่วงไตรมาสที่ 3 และ 4 ของปี 2552 นี้ อัสซุสจะยังสามารถรักษาอันดับ 1 ในฐานะผู้นำตลาด และครองส่วนแบ่งทางการตลาดได้มากกว่า 50% อย่างต่อเนื่อง รวมถึง ความแตกต่างของเทคโนโลยี Xtreme Design ที่จะช่วยครองใจผู้ใช้คอมพิวเตอร์ให้เลือกผลิตภัณฑ์มาเธอร์บอร์ดของอัสซุสต่อไป นอกจากนี้ บริษัทฯ จะเน้นการทำตลาด CPU AMD รุ่นใหม่ โดยใช้ชิพเช็ต AMD 785G ในมาเธอร์บอร์ดรุ่น M4A785TD Series พร้อมกับเทคโนโลยี Xtreme Design เพื่อช่วยให้ลูกค้าประหยัดพลังงานและทำโอเวอร์คล๊อกได้ง่ายขึ้น


credit :
http://www.bcoms.net/news/detail.asp?id=9969

อติภัทร(แก๊ป)

พนักงานไอทีในประเทศแอฟริกาใต้ใช้นกพิราบในการส่งข้อมูลแทนการใช้อินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์

อินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ในประเทศแอฟริกาใต้พ่ายแพ้ให้กับการส่งข้อมูลดั้งเดิมของมนุษยชาติ

รายงานข่าวจาก สำนักข่าว BBC ระบุถึงความสำเร็จในการส่งข้อมูลด้วยนกพิราบของพนักงานในอุตสาหกรรมไอทีที่ เมือง Durban ประเทศแอฟริกาใต้ โดยรายละเอียดของเนื้อข่าวได้ระบุว่าพนักงานไอทีคนที่ว่าพบเจอกับปัญหาการ เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ที่ล่าช้า และมีปัญหาการเชื่อมต่อของผู้บริการ (ISP) Telkom ดังนั้นเขาจึงทดลองผูกอุปกรณ์เก็บข้อมูลแบบพกพาขนาด 4GB ไว้กับขาของนกพิราบและทำการส่งนกตัวนั้น (ในเนื้อข่าวให้ชื่อว่า Winston) ไปพร้อมๆ กับการส่งไฟล์แบบปกติ และเมื่อเวลาผ่านไป 1 ชั่วโมง 8 นาที ข้อมูลที่ผูกขาเจ้า WInston ก็ได้ถึงจุดหมายและส่งผ่านเรียบร้อย ในขณะที่การส่งไฟล์ด้วยอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ ดำเนินไปได้เพียงแค่ 4 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แม้ในรายงานข่าวจะไม่ระบุถึงขนาดของไฟล์ข้อมูลนั้นๆ แต่ก็ได้มีข้อมูลเสริมว่าถ้าหากการเชื่อมต่ออยู่ในสถานะปกติการส่งไฟล์นั้นๆ อาจใช้เวลามากกว่านกพิราบอีกกว่าชั่วโมง โดยในเรื่องนี้ตัวแทนของ Telkom ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าบริษัทไอทีของพนักงานควรจะเพิ่มระดับของความเร็ว อินเตอร์เน็ตของตนเองให้มากกว่าเดิม

ที่มา pantip.com

ณัฐพล(ท๊อป)

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552

กินไข่วันละกี่ฟองถึงจะพอดี


การไม่ทานไข่ อาจส่งผลเสียต่อเส้นประสาทสมองได้ ไข่ฟองเล็กๆ หนึ่งฟอง มีปริมาณวิตามินบี 12ซึ่งจําเป็นต่อการสร้างเยื่อหุ้มป้องกันเส้นใยประสาท

นอกจากนี้ไข่ยังดีต่อสายตาคุณ โดยเมื่อไม่นานมานี้มีผลการศึกษาจากอเมริกาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Nutrition ได้ค้นพบว่า การทานไข่อย่างน้อย 3 ฟองต่อสัปดาห์จะช่วยป้องกันภาวะสูญเสียสายตาที่มักเกิดขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้นได้ เพราะสารลูทีนและซีแซนทีน ซึ่งเป็นสารรงควัตถุในตระกูลแคโรทีนอยด์ในไข่แดงจะช่วยบํารุงจอประสาทตานั่นเอง

"ไข่เจียว" ถือเป็นยาบํารุงร่างกายได้เลย เพราะนอก จากไข่จะช่วยให้ร่างกายคุณดูดซึมแคลเซียมได้ดีแล้ว ยังช่วยลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน แถมปริมาณ สารซีลีเนียมและวิตามินอีในไข่ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจ ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้คุณมีหุ่นกลมเป็นไข่อีกด้วย

ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยหลุยส์เซียนาสเตท พบว่า คนที่ทานมื้อเช้าโดยมีไข่เป็นส่วนประกอบ จะลดน้ำหนักได้มากกว่าคนที่ไม่ทานไข่ในมื้อเช้าได้ถึง65 เปอร์เซ็นต์ เมื่อบริโภคแคลอรี่ในปริมาณที่เท่ากัน

ตามรายงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร American Journal of Clinical Nutrution ไข่ที่ให้ผลดีต่อร่างกาย อาจส่งผลร้าย ได้เหมือนกัน ถ้าคุณทานมากกว่า 1 ฟองต่อวัน ติดกันทุกวัน แต่ขณะที่การทานไข่สูงสุด 6 ฟองต่อสัปดาห์ไม่ได้ ทําให้มีอันตรายถึงชีวิต

ในทางตรงกันข้ามการทานไข่ 7 ฟองหรือมากกว่านั้นภายใน 1 สัปดาห์ จะไปเพิ่มปัจจัย เสี่ยงที่ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ 23 เปอร์เซ็นต์



แหล่งที่มา http://www.dek-d.com/content/lifestyle/17049/กินไข่วันละกี่ฟองถึงจะพอดี.htm

พงศธร(พง)

จับตา15กระแสใหม่ "ซูเปอร์มาร์เก็ต"แห่งอนาคต

ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป จะส่งผลให้ "ซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งอนาคต" ซึ่งเกี่ยว ข้องกับชีวิตประจำวันของคนทั่วโลกพลิกโฉมหน้าไปทางไหน วันนี้มีข้อมูลประเมินสถานการณ์บางส่วนมาบอกต่อ!

1. ขนาดเล็กลง

ในอนาคต ขนาดซูเปอร์มาร์ เก็ต หรือห้างค้าปลีกต่างๆ จะเล็กลง และมียักษ์ใหญ่หลายเจ้าเริ่มต้นเดินตามกลยุทธ์นี้แล้ว เพื่อเจาะ กลุ่มลูกค้าให้ชัดเจนขึ้น

เช่น ห้างมาร์เก็ตไซด์ของวอล มาร์ต ห้างเดอะมาร์เก็ตของเซฟเวย์
ห้างเฟรชแอนด์อีซี่ของเทสโก้ ซึ่งเน้นขายผลิตภัณฑ์สดใหม่ รวม ถึงอาหารกล่องพร้อมรับประทาน และสินค้าเพื่อสุขภาพและเกษตรอินทรีย์

เบื้องหลังความคิดนี้เพื่อเจาะตลาดลูกค้าในกลุ่มเมืองใหญ่ที่มีประช
ากรหนาแน่น และดึงให้มาใช้บริการจับจ่ายใช้สอยทุกวัน

2. เจาะกลุ่มเชื้อชาติ

การขายของแบบจับฉ่ายอาจเพิ่มต้นทุนสูงโดยไม่จำเป็น

ซูเปอร์มาร์เก็ตในอนาคตจะเปิดเพื่อรองรับลูกค้ากลุ่มหนึ่งกลุ่มใดโดย
เฉพาะตามจำนวนประชากรแต่ละเชื้อชาติในชุมชนที่เพิ่มขึ้น

เช่น ในสหรัฐอเมริกา ห้างวอลมาร์ตลงทุนเปิดร้านซูเปอร์ เมอร์คาโดและพับลิกซ์เซเบอร์ วางจำหน่ายสินค้าสไตล์ละติน อเมริกาเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นข้าวปลาอาหาร เครื่องดื่ม เบเกอรี่ และมีพนักงานที่พูดภาษานั้นๆ ได้ คอยให้คำแนะนำ

3. เน้นอาหารชุด

บริการจัด "อาหารชุด" ที่มีความสดใหม่จะเพิ่มความนิยมขึ้นตามลำดับ

เหมาะสำหรับซื้อไปอุ่นรับประทานที่บ้าน ซึ่งมีสมาชิก 6 คนขึ้นไป หรือจัดปาร์ตี้เล็กๆ

และอาหารสำเร็จรูปแปลกๆ จะมีให้เห็นมากขึ้น อาทิ "ไก่กระป๋องทั้งตัว" ซึ่งต้มสุกแล้ว เปิดออกมาเทประกอบอาหารได้เลย

4. บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ

นักวิทยาศาสตร์หลายสำนักต่างให้ความสนใจพัฒนา "บรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ" ซึ่งแจ้งเตือน-บอกวันหมดอายุของสินค้าข้างในได้ถูกต้อง

ในวันข้างหน้า บรรจุภัณฑ์เหล่านี้จะกลายเป็นมาตรฐานประจำซูเปอร์มาร์เก็ต เพื่อเพิ่มความอุ่นใจให้ผู้บริโภค

ตัวอย่างของเทคโนโลยีนี้ เช่น ปัจจุบันนักวิจัยมหาวิทยาลัยโรดส์ไอส์แลนด์ และบริษัทไซราเทคโนโลยี สหรัฐ กำลังพัฒนา "บาร์โค้ด" บนกล่องสินค้าที่จะเปลี่ยนเป็น "สีแดง" เมื่อถึงวันหมดอายุและทำให้เครื่องเก็บเงินสแกนบาร์โค้ดไม่ได้

5. รถเข็นปลอดเชื้อ

ในยุคสมัยที่ทั่วโลกสุ่มเสี่ยงต่อโรคระบาด มีธุรกิจหัวแหลมนำเสนอ นวัตกรรมใหม่แก่ผู้บริหารซูเปอร์มาร์เก็ตทั้งหลาย

นั่นคือ เครื่องทำความสะอาดรถเข็น "เพียวคาร์ต ซิสเต็มส์" ซึ่งเมื่อเข็นรถเข็นผ่านเข้าไป ตัวเครื่องจะพ่นน้ำ น้ำยาเพอร็อกไซด์ และน้ำส้มสายชูอ่อนๆ เพื่อฆ่าเชื้อ

ระบบที่ว่านี้มีราคา 3.5 แสนบาท แต่ผู้ผลิตบอกว่าในระยะยาวคุ้มค่ากว่าการเสียเงินจ้างพนักงานคอยเอาน้ำยาฆ่าเชื้อเช็ดรถทีละคัน และช่วยทำให้สร้างความรู้สึกว่าร้านค้าใส่ใจสุขภาพลูกค้ามากขึ้น

6. สินค้าใส่ใจโลก

กระแสสินค้าพะยี่ห้อใส่ใจสิ่งแวดล้อม สนับสนุนการรีไซเคิล และปลอดสารเคมี จะยิ่งได้รับความนิยม

ส่งผลให้ซูเปอร์มาร์เก็ตแต่ละค่ายต้องผลิตสินค้ากลุ่มนี้ออกมาจำหน่ายโดยเฉพาะในร้านตัวเอง

ขณะนี้ร้านเซฟเวย์ของสหรัฐ ก็จำหน่ายผลิตภัณฑ์ดังกล่าวอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ทั้งน้ำยาซักผ้าสูตรธรรมชาติ และอาหารที่ผลิตตามมาตรฐานกระบวนการเกษตรอินทรีย์ เช่น ซีเรียล ซอส และขนมนมเนย

7. รถเข็นคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์ พร้อมระบบ สื่อสารไร้สาย จะกลายเป็นอุปกรณ์มา
ตร ฐานที่ติดตั้งอยู่กับรถเข็น

เวลาเข็นรถผ่านล็อกต่างๆ ข้อมูลโปรโมชั่น ณ จุดนั้น เช่น สินค้าลดราคาจะปรากฏบนหน้าจอคอมพิวเตอร์และกดค้นหาจุดวางสินค้า นอกจากนี้ ลูกค้ายังหยิบสินค้ามาสแกนดูราคา ตรวจสอบแหล่งที่มาวันผลิต วันหมดอายุ และรายละเอียดอื่นๆ โดยละเอียด

คอมพิวเตอร์ยังจะประมวลราคาสินค้าที่ต้องการซื้อทั้งหมด ช่วยให้ขั้นตอนจ่ายเงินรวดเร็วขึ้น

8. "อี-คูปอง"


คูปองลดแลกแจกแถมชนิดพิมพ์บนแผ่นกระดาษจะลดน้อยลง

แต่จะโผล่มาปรากฏบนหน้าจอ "โทรศัพท์มือถือ" แทน หรือเรียกว่า "อิเล็กทรอนิกส์ คูปอง" (อี-คูปอง)

เมื่อต้องการรับส่วนลดเพียงแสดงคูปองส่วนลดที่ส่งผ่านมือถือให้แคชเชียร์ดู

9. ตรวจสินค้าด้วยมือถือ

ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่บางแห่งในญี่ปุ่นและเยอรมนี เริ่มทดลองเปิดให้บริการสแกน-ตรวจสอบรายละเอียดสินค้าผ่านโทรศัพท์มือถือของลูกค้าเอง

วิธีการก็คือ ลูกค้านำกล้องมือถือ ซึ่งลงทะเบียนเปิดใช้บริการเรียบ ร้อยแล้วไปจ่อถ่ายภาพ "บาร์โค้ด" ของสินค้าในห้างที่ร่วมโครงการ

จากนั้นระบบจะประมวลผลและแสดงข้อมูลให้รับทราบทันที

10. แท็ก "อาร์เอฟไอดี"

ป้ายหรือแท็ก รับ-ส่ง คลื่นสัญญาณวิทยุอัจฉริยะ "อาร์เอฟไอดี" (RFID) จะช่วยให้การเช็กสต๊อกสินค้า รวมถึงการจำหน่ายสินค้าเป็นไปด้วยความรวดเร็ว

เพราะแท็กชนิดนี้ สามารถเพิ่มประสิทธิ ภาพการบริหารจัดการ "คลังสินค้า" ให้เป็นไปโดยอัตโนมัติ

ลดเวลาการนับสินค้าและวางแผนสินค้ากำหนดจำนวนคงคลังอย่างแม่นยำด้วยการนำเอา "ยอดขาย" มาคำนวณเปรียบเทียบ

11. สังคมช็อปปิ้งออนไลน์

ซูเปอร์มาร์เก็ตจำนวนมากเริ่มหันมาใช้ "เว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์" อาทิ ทวิตเตอร์ และเฟซบุ๊ก รวมทั้งจัดตั้งเว็บล็อก ขึ้นมาทำการตลาดโดยเฉพาะ เพื่อสร้าง "ฐานสมาชิก" ในโลกอินเตอร์เน็ต

เมื่อเข้ามาในเว็บเหล่านี้ ผู้บริโภคไม่จำเป็นต้องเดินทางไปถึงร้าน แต่รับทราบข้อมูลโปรโมชั่นใหม่ๆ ตลอดเวลา และยังสามารถอ่านกระทู้ วิพากษ์วิจารณ์คุณภาพสินค้าที่คนอื่นๆ เขียนทิ้งไว้ได้ด้วย

เว็บที่โดดเด่นในกลยุทธ์นี้มากในสหรัฐ คือ www.zeer.com

อีกไม่ช้าไม่นาน สังคมช็อปปิ้งออนไลน์นี้จะยิ่งทวีความนิยม เมื่อรุกคืบเข้าสู่โทรศัพท์มือถือ

12. ผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยง


ในขณะที่อาหาร-สินค้าสำหรับคนต่างต้องตัดราคา แข่งกันทำยอด

แต่ตลาด "ผลิต ภัณฑ์เพื่อสัตว์เลี้ยง" กลับส่อแววไปได้ดี

โดยเฉพาะอาหารสุนัขและแมว ซึ่งผลิตตามขั้นตอนธรรม ชาติ ไม่ปรุงแต่งด้วยสารเคมี

13. โฆษณาบนสายพาน

อีกปรากฏการณ์ที่ลูกค้ามีแนวโน้มจะพบเห็นในซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วโลกบ่อยขึ้นตามลำดับ ได้แก่

ป้ายโฆษณาที่พิมพ์ติดอยู่กับ "สายพาน" ตรงเคาน์เตอร์คิดเงิน ซึ่งง่าย ต่อการมองเห็น

และบรรดาซูเปอร์มาร์เก็ตย่อมไม่ปล่อยให้พื้นที่เด่นนี้อยู่ว่างๆ โดยไม่ สร้างรายได้

14. สินค้า"โต"ระหว่างขนส่ง

ความคลั่งไคล้สินค้าจำพวก "ใหม่สดเสมอ" ทำให้นักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยวาเคนนิงเกิ่น ประเทศเนเธอร์แลนด์ พัฒนาวิธีการขนส่งสินค้าประเภท "พืชผัก" ชนิดใหม่

ออกแบบให้ผักต่างๆ เช่น เห็ด ค่อยๆ เจริญเติบโตไประหว่างขั้น
ตอน การขนส่ง

เมื่อไปถึงจุดขายก็โตเต็มที่เหมาะแก่การบริโภคพอดี

อย่างไรก็ตาม ต้องลุ้นกันต่อไปว่าจะต่อยอดให้แนวคิดนี้เป็
นจริงในทางปฏิบัติได้หรือไม่

15. ซูเปอร์ฯ สีเขียว

กระแสตื่นตัวอยากมีส่วนร่วมแก้ปัญหาวิกฤต "โลกร้อน" ส่งผลให้ ผู้บริโภคเลือกเสพ-เลือกซื้อหาสินค้าจากองค์กรและธุรกิจที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม

ดังนั้น ซูเปอร์มาร์เก็ตเองจึงพยายามปรับตัวให้เข้ากับค่านิยม ดัง กล่าว

ไม่ว่าจะติดตั้งแหล่งกำเนิดพลังงานแสงอาทิตย์ เลือกใช้อุปกรณ์ประหยัดไฟ รณรงค์ให้ประชาชนใช้ถุงผ้า ไปจนถึงออกแบบโครง สร้างอาคารด้วยวัสดุไม่ทำลายสภาพแวดล้อม

นับเป็นทิศทางที่ดี และบีบให้เจ้าของธุรกิจจำต้องแสดงสำนึกดูแลสังคมส่วนรวมสูงขึ้นกว่าในอดีต
1.บรรจุภัณฑ์ติดบาร์โค้ดอัจฉริยะ

2.อาหารสำเร็จรูปสไตล์ละติน

3.อาหารชุด

4."ถุงผ้า"ในซูเปอร์ฯ รับกระแสแก้โลกร้อน

5.ซูเปอร์มาร์เก็ตบนมือถือ

6.เครื่องฆ่าเชื้อรถเข็น

เนื้อหาจากบทความเรื่อง

"Grocery Store of the Future."

นิตยสารบิสสิเนสวีก สหรัฐอเมริกา


credit : หนังสือพิมพ์ข่าวสด หน้า21 วันที่ 08 กันยายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 19 ฉบับที่ 6858 ข่าวสดรายวัน