วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2554

นัดหมาย Update หลังจากไม่เจอกัน เป็นเวลานาน

ถึง นักศึกษา SA 2009 ทุกท่าน

สืบเนื่องจาก อยากเจอกัน ... เพื่อ Update ข้อมูลข่าวสาร การเดินทาง และอื่นๆ ....

ขอให้ Post ที่ FB ของ อาทิย์ (หมี) นะจ้ะ

สติและสันติ

อาจารย์จงดี โตอิ้ม

วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เศรษฐีผู้ยากจน‏

หากคุณเป็นเด็กคนนั้น คุณอยากเลือกที่จะจนหรือรวย

กด ctrl+A ก่อนอ่านนะ




. . . . . มหาเศรษฐีเกือบจะชราผู้หนึ่งสุดแสนจะภาคภูมิใจที่ลูกชายวัยห้าขวบของเขากำลังจะได้เข้าเรียนโรงเรียนชื่อดัง ซึ่งระดับมหาเศรษฐีอย่างพวกเขาเท่านั้นจึงมีปัญญาส่งลูกหลานเข้าเรียนในโรงเรียนนี้ได้ โดยส่วนตัวตัวของเขาเองก็อยากจะสอนให้ลูกชายรู้จักกับชีวิตจริงในโลกควบคู่ไปกับการสอนทฤษฎีในโรงเรียน

. . . . . ในวันหยุดเขาจะตระเวนพาลูกชายคนเดียวไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ แล้ววันหนึ่งเขาก็คิดถึงหัวข้อการสอนเรื่อง “ความยากจน” เพราะเขามีความเชื่อว่าลูกชายของเขาคงไม่มีวันรู้จักแน่นอน

. . . . . เขาจึงพาลูกชายไปเยี่ยมครอบครัวชาวนาครอบครัวหนึ่ง และพักอยู่กับชาวนาเป็นเวลา 1 วัน 1 คืน เมื่อกลับถึงคฤหาสน์ของเขาในวันต่อมามหาเศรษฐีก็จะทดสอบว่าลูกชายได้อะไรบ้างจากการไปพักแรมกับชาวนาผู้ยากจน

. . . . . ลูกชายตอบคำถามผู้เป็นบิดาว่า เขาขอขอบคุณเป็นอย่างมากที่ได้พาเขาไปพบกับชาวนาและพักแรมที่นั่น ซึ่งทำให้เขาได้พบว่า...


. . . . . ชาวนามีที่ทำงานเป็นท้องนาที่กว้างใหญ่ ในขณะที่พ่อมีเพียงห้องสี่เหลี่ยมที่ว่ากว้าง แต่ก็ยังน้อยกว่าห้องทำงานของชาวนา

. . . . . อาหารที่ชาวนารับประทานสามารถหาได้ตลอดเวลารอบ ๆ บริเวณบ้านโดยไม่ต้องซื้อหา ในขณะที่บ้านของเรามีตู้เย็นเท่านั้นที่เป็นที่เก็บอาหาร

. . . . . เวลารับประทานอาหารก็มีเพื่อนคุยอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก ในขณะที่ตัวเองก็ต้องนั่งทานอาหารกับโต๊ะที่ยาวเกือบสิบเมตร และเก้าอี้ว่างเปล่าทั้งสองด้าน

. . . . . ลูกชาวนาที่ซ้อนท้ายจักรยานของพ่อเขา ต้องกอดเอวพ่อให้แน่นเพื่อที่จะได้ไม่ตกจากจักรยาน แต่เขาเองต้องนั่งในรถที่ใหญ่โตอยู่ข้างหลังเพียงลำพังโดยมีคนขับพาไปทุกที่

. . . . . ชาวนามีแสงดาวแสงจันทร์เป็นโคมไฟส่องสว่างตลอดเวลาในเวลากลางคืนโดยไม่ขาดแคลนแต่เขาก็มีเพียงแสงจากโคมไฟที่ต้องซื้อด้วยเงิน

. . . . . ชาวนามีรั้วบ้านเป็นแม่น้ำ ภูเขาที่กว้างสุดลูกหูลูกตา แต่เขาเองกลับมีเพียงแค่กำแพงบล็อกในพื้นที่ไม่กี่ไร่

. . . . . ลูกชาวนาได้มีเพื่อนเล่นเป็นจิ้งหรีดหิ่งห้อยนับร้อยนับพัน แต่เขาเองกลับไม่มีใครเลย

. . . . . เขาขอบคุณพ่ออีกครั้งที่ทำให้เขารู้คำตอบว่า... จริง ๆ แล้ว...เรายากจนกว่าชาวนามาก

จาก FWD. mail

วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2552

สามล้อถูกหวย ฉบับจีนแดง

เขาจบเพียงชั้นมัธยมปลาย สอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ไม่ได้ แถมเป็นแค่พ่อค้าหาบเร่ และหารำไพ่ตอนกลางคืนด้วยการถีบสามล้อ แต่วันดีคืนดีเขาได้รับเชิญให้เรียนปริญญาเอก โดยไม่ต้องสอบเข้า

หนุ่มวัย ๓๘ ผู้นี้ชื่อ ไคเว่ย ทั้ง ๆ ที่มีอาชีพต่ำต้อย แต่เขามีความรู้ทางวรรณกรรมจีนโบราณอย่างลึกซึ้ง ชนิดที่หาตัวจับได้ยาก แม้กระทั่งศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยก็ยังทึ่ง เพราะบางเรื่องเขารู้ดีกว่าศาสตราจารย์อีก จนศาสตราจารย์ต้องแก้ไขงานเขียนของตัวตามคำแนะนำของไคเว่ย

วรรณกรรมจีนโบราณไม่มีทางช่วยให้เขาหาเงินได้มากขึ้นจากการหาบเร่และถีบจักรยาน แต่เขาไม่หยุดอ่านเอกสารและคัมภีร์โบราณจนภรรยาต่อว่า นั่นก็เพราะเขามีใจรักหรือฉันทะนั่นเอง ยามว่างเขาก็โพสต์ความคิดเห็นตามเว็บบอร์ด จนสะดุดตาศาสตราจารย์ผู้หนึ่

ชิว ซีกุย ศาสตราจารย์ด้านวรรณกรรมจีนโบราณ แห่งมหาวิทยาลัยฟูดานที่เซี่ยงไฮ้ เป็นผู้เชิญไคเว่ยเข้าศึกษาต่อชั้นปริญญาเอก โดยไม่ต้องสอบภาษาอังกฤษตามระเบียบของคณะ ทั้ง ๆ ที่เขาไม่มีวุฒิปริญญาใด ๆ เลย

ไคเว่ยเป็นตัวอย่างที่ชี้ว่าแม้ฐานะและอาชีพจะต่ำต้อย แต่หากมีความใฝ่รู้ รักเรียน และเพียรพยายามแล้วก็สามารถบรรลุถึงความเป็นเลิศ หรือเป็นที่ยอมรับของผู้รู้ได้ ขณะเดียวกันเขาก็ยังบอกเราอีกว่าอย่ามองคนแค่เปลือกนอก ถึงจะเป็นพ่อค้าเร่ สามล้อ หรือคนไร้ปริญญา เขาอาจมีความรู้มากกว่าครูบาอาจารย์ก็ได้

แต่ที่น่าทึ่งไม่น้อยกว่าไคเว่ยก็คือมหาวิทยาลัยฟูดาน ที่พร้อมเปิดรับพ่อค้าเร่และสามล้อถีบเข้าศึกษาต่อชั้นปริญญาเอก ทั้ง ๆ ที่ไม่เข้าเกณฑ์เลย การเปลี่ยนกฎเกณฑ์ของมหาวิทยาลัยที่อนุญาตให้อาจารย์มีสิทธิรับนักศึกษาปริญญาเอกได้ ทำให้คนอย่างไคเว่ยสามารถเรียนต่อได้สะดวกขึ้น

พ่อค้าเร่อย่างไคเว่ยที่รู้ลึกและยิ่งกว่านักวิชาการหรือศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัย อาจมีในเมืองไทย แต่โอกาสที่เขาจะได้เป็นนักศึกษาปริญญาเอกในมหาวิทยาลัยไทยนั้น ดูจะเป็นความฝัน เพราะมหาวิทยาลัยไทยถือกฎเกณฑ์และระเบียบสำคัญยิ่งกว่าอะไรอื่น และที่ยิ่งกว่านั้นก็คือการถือชั้นวรรณะทางวิชาการอย่างเหนียวแน่น โดยถือเอาปริญญาบัตรเป็นเครื่องวัดคน จึงยากที่จะอ้าแขนเปิดรับคนไร้ปริญญาให้มาอยู่ในสถานะเดียวกับตนได้

อย่าว่าแต่คนไร้ปริญญาเลย ได้ยินมาว่า ถ้าคุณไม่จบปริญญาเอก แม้จะได้ปริญญาโทมา และมีงานวิชาการมากมายเพียงใด เดี๋ยวนี้คุณไม่มีสิทธิสอนนักศึกษาปริญญาเอกในมหาวิทยาลัยไทยแล้ว บทบาทนี้เขาสงวนไว้สำหรับผู้มีวรรณะเป็นดอกเตอร์เท่านั้น

พระไพศาล วิสาโล

วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552

เรื่องราวจากชีวิตจริง ....

มีนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลคนหนึ่งเขียนอีเมล์มาบอกเล่าเรื่องราวการเดินทางของตัวเอง ... เลยหยิบมาเล่าสู่กันฟังคะ ....

ถึง อาจารย์...... ที่เคารพ

เหลือบไปเจอบทความของบอสและดริวในเมลล์ ขอเล่าเรื่องให้อาจารย์ฟังซักนิดละกันนะครับ ผมก็เคยคุยกับบอสหลายครั้งเหมือนกัน เรื่องคณะวิทยาศาสตร์ ผมเองเป็นคนหนึ่งที่ก้าวเข้ามาในคณะนี้ท่ามกลางเสียงต่อต้านจากทุกทิศทุกทางรอบกาย เสียงต้านเหล่านั้นอาจจะไม่มากมายขนาดนี้ ถ้าก่อนหน้านั้นผมไม่ได้เผอิญไปสอบติดในคณะที่หลายคนใฝ่ฝันอยากจะเป็น คณะที่พ่อแม่ของหลายคนใฝ่ฝันอยากให้ลูกได้เรียน คณะที่ไม่มีใครคิดว่าผมจะสละสิทธิ์ คณะแพทยศาสตร์

ช่วงนั้นผมนึกถึงคำพูดของ Henry Ford ผู้ก่อตั้งบริษัท ฟอร์ดมอเตอร์ที่ว่า "When everything seems to be going against you, remember that the airplane takes off against the wind, not with it" มันใช้ได้ดีเลยทีเดียว

ผมก็เป็นแค่คนที่มีความฝัน อยากที่จะเลือกเดินตามเส้นทางของความฝัน และอยากที่จะทำความฝันนั้นให้เป็นความจริงฝันของผมอาจจะต่างจากของคนอื่น ผมแค่คิดว่าผมจะเรียนในสิ่งที่ผมอยากจะเรียน อยากจะรู้ และอยากจะเป็นพูดง่ายๆคือ ผมก็แค่ทำตามใจตัวเองเท่านั้น

แต่การที่ทำตามใจตัวเอง แล้วมันทำให้ตัวเองมีความสุข และสร้างประโยชน์ต่อสังคม ประเทศชาติ และโลกได้ มันก็คุ้มสำหรับการดึงดันที่จะทำตามใจตัวเองมิใช่หรือ

ผมบอกกับใครต่อใครว่า ผมสามารถเป็นแพทย์ได้ แต่ถ้าผมมีอย่างอื่นที่ผมมีความสุขที่่จะเป็น และเป็นได้ดีกว่า มันก็ไม่น่าเป็นเรื่องแปลกที่ผมจะเลือกอย่างนี้

สังคมไทยยังยึดติดกับค่านิยมทางอาชีพมาก การที่ยังมีค่านิยมแบบนี้ก็คงเป็นส่วนหนึ่งที่ประเทศชาติยังไม่สามารถพัฒนาได้อย่างเต็มศักยภาพเสียที

มีเพื่อนผมจำนวนไม่น้อยที่สนใจในวิทยาศาสตร์ ส่วนหนึ่งไม่สามารถหลุดออกจากแรงต้านของค่านิยมได้ อีกส่วนหนึ่งกลัวที่จะเดินเข้ามาในทางสายนี้ สายอาชีพที่เขามองว่ายังเลือนลางเหลือเกินสำหรับสังคมไทย
แต่ผมกลับคิดว่า ถ้าไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปจุดไฟส่องทาง ทางเส้นนั้นก็จะเลือนลางมืดมิด ไม่มีวันได้สว่างเสียทีและนั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการให้เป็นกับเส้นทางสายวิทยาศาสตร์ของประเทศไทย

ผมเข้ามาด้วยความมีอุดมการณ์อย่างแรงกล้า แรกๆยังหวั่นว่า เราจะเป็นคนเดียวที่คิดแบบนี้อย่างที่เขาว่าไว้หรือเปล่า เราเลือกมาถูกแล้วแน่หรือแต่การที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของคณะวิทยาศาสตร์ ทำให้ได้รู้ว่ายังมีคนอีกมากมายที่คิดเหมือนกับผมเป็นสังคมที่ท้าทายทางความคิด หลากหลายมุมมอง ได้เจอกับเพื่อนๆ รุ่นพี่ และอาจารย์ที่ต่างก็มีแนวคิดที่น่าทึ่ง (โดยเฉพาะอาจารย์สอนชีววิทยาคนล่าสุด จริงๆนะครับ) ทำให้ได้ลองนึกไปว่า หากตอนนี้ผมไปอยู่ในคณะแพทย์ จะมีโอกาสได้เจอบรรยากาศแบบนี้ไหมทำให้ผมมั่นใจ กับทางที่อยู่ข้างหน้า ที่ก็มีคนจุดไฟนำทางไว้แล้วไม่น้อยเหมือนกัน แต่ผมก็หวังว่าตัวเองจะเป็นดวงไฟที่สว่างอีกดวงหนึ่ง

ผมพยายามชักชวนให้รุ่นน้องที่รู้จัก มาเรียนคณะวิทยาศาสตร์ ลบค่านิยมเก่าๆออกไป แล้วก็ดีใจที่มีรุ่นน้องอยากเป็นอย่างผม แม้จะไม่มาก แต่มันก็ทำให้เห็นว่าสิ่งที่พยายามทำอยู่ประสบความสำเร็จอยู่เหมือนกัน
แต่การที่มีเพื่อนๆในคณะ หลายคน ลาออกจากเส้นทางสายวิทยาศาสตร์อย่างถาวร ก็ทำให้จิตใจหดหู่ลงไม่น้อย ไม่รู้ว่าเขามองคณะวิทย์อย่างที่ผมมองหรือเปล่า หรือผมคิดว่าเขาควรจะได้เรียนกับอาจารย์เร็วกว่านี้ (หลายคนที่ออกไปยังไม่เคยเรียนกับอาจารย์เลย)

อ่านแล้วรู้สึกอย่างไร ... เล่าสู่กันฟังบ้างนะคะ

อาจารย์จงดี

วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2552

วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2552

เพื่อนๆมาช่วยแนะนำหนังสือดีๆกัน

หลังจากที่ผมได้อ่านบทความ “ความฝันโง่ๆ” ของแมม ที่แต่งโดยของคุณวินทร์ เลียววาริณ รู้สึกชอบมากเลย เพราะรู้สึกเป็นข้อความที่ให้ข้อคิด กำลังใจดีมากเลย ทำให้อยากอ่านหนังสือเรื่อง “สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน” ของแหม่มเลย(แต่คงต้องเป็นหลังสอบเพราะตอนนี้ต้องอ่านหนังสือสอบก่อน55+) และก็ได้อ่านบทความของอาจารย์จงดี ที่หนังสือชื่อว่า “เวลาในขวดแก้ว” ก็รู้สึกว่าเป็นหนังสือที่ดีอีกเล่มหนึ่งเลย

จึงทำให้รู้สึกอยากอ่านหนังสือขึ้นมาเลย(จากเดิมที่ไม่เคยหรือไม่ชอบอ่านหนังสือเลย)

เลยอยากให้เพื่อนๆหรืออาจารย์จงดี ช่วยเข้ามาโพสชื่อเรื่องหนังสือดีๆที่ให้ข้อคิดดีๆ น่าอ่าน หรือที่เพื่อนๆคิดว่าเป็นหนังสือที่ดีมาแบ่งปันกัน ครับ


ขอบคุณมากครับ
พงศธร(พง)

วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2552

เวลาในขวดแก้ว......

หลังจากที่ได้อ่าน บทความแสดงความรู้สึกของเน ... ก็ทำให้ครูนึกถึง หนังสือเรื่องหนึ่ง "เวลาในขวดแก้ว" ... ขอแบ่งปันนะคะ
"If I could save time in a bottle
ถ้าฉันเก็บเวลาไว้ในขวดแก้วได้
The first thing that I'd like to do
สิ่งแรกที่ฉันจะทำ...
Is to save every day Till eternity passes away
คือสะสมคืนวันที่ล่วงเลยมานิรันดร์
Just to spend them with you
เพียงเพื่อมอบมันแก่เธอ

If I could make days last forever
ถ้าฉันสามารถทำให้คืนวันเ็ป็นอมตะ
If words could make wishes come true
หรือเพียงแค่คำพูด...จะทำให้ความหวังเป็นจริงขึ้นมาได้
I'd save every day like a treasure and then,
ฉันจะเก็บทุกโมงยามราวสมบัติล้ำค่า
Again, I would spend them with you
เพื่อมอบแก่เธอ
But there never seems to be enough time
แต่ดูราวกับไม่ค่อยมีเวลาเพียงพอ
To do the things you want to do
ที่จะทำในสิ่งที่ฉันต้องการ
Once you find them
หรือแม้แต่จะหาสิ่งนั้นให้พบ
I've looked around enough to know
ฉันวิงวอน เพียงเพื่อจะรู้ว่า
That you're the one I want to go Through time with
เธอเท่านั้น... ที่ฉันต้องการก้าวผ่านกาลเวลาด้วย
If I had a box just for wishes
ถ้าฉันมีกล่องสักใบ
And dreams that had never come true
สำหรับใส่ความหวังและความฝันที่ไม่เคยเป็นจริง...
The box would be empty
กล่องนั้นคงจะ่ว่างเปล่า
Except for the memory
หากเปี่ยมด้วยความทรงจำ
Of how they were answered by you
ที่เธอได้ตอบสนองต่อฉัน"

ยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางในรั้วมหาวิทยาลัย ครั้งนี้

อาจารย์จงดี โตอิ้ม