วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2552

การบริหารความเสี่ยงของธุรกิจ


กลับมาพบกันอีกครั้งนะคะ วันนี้ขอนำบทความเกี่ยวกับเรื่องการบริหารความเสี่ยงของธุรกิจมาให้เพื่อนๆ ได้ลองอ่านกัน เพื่อเพื่อนๆจะนำไปเป็นแนวทางในการสร้างหรือดำเนินธุรกิจของตนเองในอนาคต

การบริหารความเสี่ยง (Risk Management)เป็นสิ่งที่ทุกธุรกิจในปัจจุบันต้องให้ความสนใจเป็นอย่างมากจะเห็นได้ว่าหลายบริษัทได้ให้ความสำคัญในด้านการบริหารความเสี่ยงมากยิ่งขึ้นเพราะการที่ธุรกิจจะลงทุนในสิ่งใดแล้ว ผลที่ธุรกิจต้องการก็คือผลตอบแทนสูงสุด หรือมีกำไรสูงสุดแต่การที่ธุรกิจจะมีกำไรสูงสุดหรือมีผลตอบแทนสูงสุดเท่านั้นยังคงไม่พอในการบริหารจัดการธุรกิจในยุคปัจจุบันการบริหารธุรกิจในปัจจุบันจะเน้นที่ความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้นของบริษัทเป็นสำคัญเพราะการที่บริษัทมีกำไรที่มากหรือผลตอบแทนสูงไม่ได้แสดงถึงผู้ถือหุ้นของบริษัทจะได้รับประโยชน์สูงสุดด้วย แต่หากมองในมุมที่กลับกัน ถ้าผู้ถือหุ้นมีความมั่งคั่งดีแสดงว่าธุรกิจนั้นมีการบริหารจัดการได้เป็นอย่างดีหากเราจะเริ่มต้นในการวัดความเสี่ยงอย่างง่ายๆ เราคงต้องเริ่มพิจารณาจากการดำเนินธุรกิจในแต่ละวันความเสี่ยงของธุรกิจจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อสิ่งที่บริษัทคาดว่าจะเกิดขึ้น แต่ผลกลับไม่เป็นไปตามที่คาดหมายเอาไว้ตั้งแต่แรกเช่นบริษัทคาดว่าในปีนี้จะทำกำไรได้สูงกว่าปีอื่นๆแต่ผลการดำเนินการออกมาไม่เป็นไปดังที่คาดเอาไว้แสดงว่าการคาดการณ์ของบริษัทนั้นมีความเสี่ยง สาเหตุที่ทำให้บริษัทไม่ได้กำไรตามที่คาดการณ์ไว้นั้นอาจมาจากหลายสาเหตุ เช่นสถานการณ์ทางการตลาด ราคาวัตถุดิบ การผิดนัดชำระหนี้ของลูกหนี้การค้า ฯลฯซึ่งจะต้องทำการวิเคราะห์ต่อไปดังนั้นหากธุรกิจใดสามารถประมาณการความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้ ธุรกิจนั้นก็จะสามารถบริหารจัดการกับความเสี่ยงเหล่านั้นได้เช่นเดียวกันเมื่อบริษัทสามารถประเมิณค่าความเสี่ยงได้แล้วนั้นบริษัทก็จะสามารถพยายามปรับลดค่าความเสี่ยงให้เข้าสู่ค่าความเสี่ยงที่บริษัทสามารถยอมรับได้โดยการปรับค่าความเสี่ยงนั้น อาจทำได้โดยการลดกิจกรรมต่างๆที่จะก่อให้เกิดความไม่แน่นอนในอนาคต เช่น ลดการสต็อกสินค้าเกินความจำเป็นเพราะจะก่อให้เกิดความสูญเสีย เมื่อบริษัทเกิดอัคคีภัยหรือราคาสินค้าดังกล่าวนั้นมีราคาที่ลดลงในอนาคต หรือในทางกลับกันบริษัทอาจเพิ่มกิจกรรมที่ทำให้บริษัทสามารถปกป้องไม่ให้เกิดค่าเสี่ยงขึ้น เช่นการซื้อวัตถุดิบล่วงหน้า การซื้อหรือขายอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า ฯลฯการวัดหาค่าความเสี่ยงนั้น เราสามารถใช้เครื่องมือทางการคำนวณเพื่อช่วยในการวัดหาค่าความเสี่ยงได้ เช่น ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน (Standard Deviation) ค่าเบต้า (Beta) ฯลฯหากเราจะเริ่มต้นในการวัดความเสี่ยงอย่างง่ายๆเราคงต้องเริ่มพิจารณาจากการดำเนินธุรกิจในแต่ละวันว่าการทำธุรกิจในแต่วันนั้นมีความเสี่ยงเพียงใด และเราจะสามารถลดความเสี่ยงดังกล่าวได้หรือไม่ สมมติหากเราเป็นธุรกิจประกอบร้านอาหารยอดขายในแต่ละวันนั้นจะมียอดขายที่ไม่สม่ำเสมอทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของวัน เช่นร้านอาหารมักจะขายดีในช่วงวันศุกร์ ถึงวันอาทิตย์เพราะเป็นช่วงวันที่คนโดยทั่วไปนิยมใช้เป็นวันพบประสังสรรค์ระหว่างเพื่อนร่วมงานเพื่อนสมันเรียน ครอบครัว ฯลฯ แต่ในช่วงของวันจันทร์ ถึงวันพฤหัสบดีร้านอาหารจะมียอดขายที่ต่ำกว่าช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือวันหยุดพิเศษในเทศกาลต่างๆหากเราเป็นผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารและวันที่เรากำลังจะพิจารณากันนั้นเป็นวันศุกร์และเป็นวันสิ้นเดือน (เงินเดือนออก)การประมาณการของร้านอาหารโดยทั่วไปจะต้องประมาณการว่ากิจการในวันนี้จะต้องขายดีแต่การประมาณการยอดขายนั้นอาจไม่เป็นไปตามที่ประมาณการไว้ ด้วยหลากหลายสาเหตุ เช่นสภาพภูมิอากาศ สภาพการจราจร ฯลฯดังนั้นความเสี่ยงของธุรกิจร้านอาหารอาจเกิดขึ้นได้โดย การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสภาพอากาศเช่นในช่วงฤดูฝนตกในวันใดวันนั้นจะมียอดขายต่ำกว่าปกติดังนั้นการประมาณการยอดขายในแต่ละวัน ตลอดจนผลกำไรในแต่ละวันของร้านอาหารจะต้องมีการประเมิณขึ้น เพื่อประมาณการยอดขายวันดังกล่าวมีโอกาสที่จะเกิดฝนตกขึ้นการประมาณการยอดขายจะเปลี่ยนไปจากสภาวะปกติซึ่งการประมาณการนั้นโดยปกติยอดขายของร้านอาหารจะต้องต่ำกว่าการที่มีสภาพภูมิอากาศปกติจะเห็นได้ว่าเมื่อผลตอบแทนเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพภูมิอากาศร้านอาหารก็จะเกิดความเสี่ยงขึ้นเพราะรายได้และผลตอบแทนเกิดความไม่แน่นอนตามสภาพของภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นต้น

นิติรัตน์(นิ)
ที่มา : http://www.atsme-cm.com/index.asp?

2 ความคิดเห็น:

  1. รู้สึกคุ้นๆว่าเราใช้การจัดทำ kpi มาประเมิน

    ช่วยในเรื่องการบริหารความเสี่ยง ใช่ป่าวอ่ะ

    สำหรับทุกบริษัทการบริหารความเสี่ยงถือเป็นสิ่งสำคัญ

    แต่ตัวเราเองก็มีวิธีการบริหารความเสี่ยงเหมือนกันน่ะ

    แต่เป็นในเรื่องการบริหารความเสี่ยงในการใช้เงิน

    ว่าจะอยู่ถึงสิ้นเดือนป่าว 555 ไม่รู้เกี่ยวกันมั้ย


    ปวีณา (ปุ๋ย)

    ตอบลบ